โลกของเรายังร้อนขึ้นอย่างต่อเนื่อง เฉพาะในปี พ.ศ. 2562 มีการทำลายสถิติที่เกี่ยวกับอุณหภูมิที่ร้อนขึ้นอย่างผิดปกติครั้งแล้วครั้งเล่า
เมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวของปีได้ไม่กี่วันก็มีข่าวร้ายจากองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) เมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมาว่า ทศวรรษนี้ (พ.ศ. 2553 – 2562) จะเป็นทศวรรษที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่โลกเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมหาศาลและกำลังจะทำให้สภาพภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลงจนใกล้จะถึงจุดที่แก้ไขไม่ได้
จากการรายงานของ WMO อุณหภูมิโลกในทศวรรษนี้ร้อนขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2553 – 2562 จะร้อนที่สุดแล้ว ในระยะแค่ 5 ปี (พ.ศ. 2558 – 2562) ก็ถือเป็นช่วง 5 ปีที่ร้อนที่สุดเช่นกัน แค่เฉพาะปี พ.ศ. 2562 อุณหภูมิโลกก็สูงกว่าช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรมถึง 1.1 องศาเซลเซียสแล้ว (1)
และเมื่อหดช่วงระยะเวลาให้แคบลงเหลือแค่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2562 ก็จะพบว่าเป็นเดือนที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์จากการรายงานของ Copernicus Climate Change Service โดยพบว่า ร้อนกว่าอัตราเฉลี่ยระหว่างปี พ.ศ. 2524-2553 ถึง 0.64 องศาเซลเซียส (2)
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการเปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจในทำนองนี้ และปี พ.ศ. 2562 คือปีที่เกือบทุกฤดูกาลทำลายสถิติร้อนที่สุดเท่าที่เคยมีมา
นับตั้งแต่เดือนแรกของฤดูร้อนในซีกโลกเหนือ คือเดือนมิถุนายน มีรายงานจากสำนักงานบริหารสมุทรศาสตร์และภูมิอากาศแห่งชาติ (NOAA) ของสหรัฐว่า เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2562 เป็นเดือนมิถุนายนที่ร้อนที่สุดในรอบ 140 ปี เป็นอย่างน้อย และอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกในเดือนดังกล่าวสูงกว่าอัตราเฉลี่ยของศตวรรษที่ 21 ถึง 0.95 องศาเซลเซียส (3)
ในเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นเดือนที่สองของฤดูใบไม้ร่วงของประเทศซีกโลกเหนือ และตามปกติอุณหภูมิจะเริ่มเย็นลง แต่ในปี พ.ศ. 2562 โลกของเราต้องพบกับเดือนตุลาคมที่ร้อนที่สุด โดยทั่วโลกร้อนกว่าอัตราเฉลี่ยถึง 0.69 องศาเซลเซียส เฉพาะในยุโรปร้อนกว่าปกติถึง 1.1 องศาเซลเซียส (4)
ในระหว่างที่เขียนบทความนี้ เรายังรอตัวเลขของฤดูหนาวปี พ.ศ. 2562 ที่เริ่มต้นในเดือนธันวาคมว่าจะร้อนที่สุดเหมือนฤดูที่ผ่านมาอีกหรือไม่
นักวิทยาศาสตร์ต่างเห็นตรงกันว่าการที่โลกร้อนขึ้นราวกับไม่มีวันสิ้นสุดเกิดขึ้นจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกปริมาณมหาศาล โดยเฉพาะจากการใช้พลังงานฟอสซิล เช่น น้ำมัน
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 ทาง WMO ยังเปิดเผยข้อมูลว่าระดับของก๊าซเรือนกระจกที่ดักจับความร้อนในบรรยากาศนั้นสูงถึงระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยข้อมูลจากจดหมายข่าวก๊าซเรือนกระจก (WMO Greenhouse Gas Bulletin) แสดงให้เห็นว่าระดับความเข้มข้นเฉลี่ยของคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกอยู่ที่ 407.8 ส่วนต่อล้านในปี พ.ศ. 2561 เพิ่มขึ้นจาก 405.5 ส่วนต่อล้าน (ppm) ในปี พ.ศ. 2560 (1)
นี่คือสัญญาณอันตรายที่ถูกเปิดเผยพร้อมกับการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 25 หรือ COP25 แต่ เพตเตรี ทาอาลาส (Petteri Taalas) เลขาธิการของ WMO กล่าวว่า ไม่มีสัญญาณว่าการเพิ่มขึ้นของก๊าซเรือนกระจกจะชะลอตัวแต่อย่างใด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่ามันจะลดลง แม้ประชาคมโลกจะมีพันธะที่จะต้องลดก๊าซเรือนกระจกตามความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก็ตาม (1)
ทาอาลาส เตือนว่าครั้งสุดท้ายที่โลกของเรามีระดับความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์เท่ากับทุกวันนี้ คือเมื่อประมาณ 3-5 ล้านปีก่อน ในตอนนั้นอุณหภูมิร้อนขึ้น 2-3 องศาเซลเซียส ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงกว่าตอนนี้ถึง 10-20 เมตร (1)
จากแนวโน้มนี้ที่ไร้ความหวังนี้ หมายความว่าคนรุ่นต่อไปจะต้องเผชิญกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น, สภาพอากาศที่รุนแรง, การขาดแคลนน้ำ, การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล และความพินาศของระบบนิเวศทางบกและทางน้ำ (1)
แต่ภัยคุกคามเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับคนรุ่นต่อไปเท่านั้น เพราะ WMO ยังปล่อยรายงานอีกชิ้นระหว่างการประชุม COP25 ที่กรุงมาดริด ชื่อรายงานว่า “สถานะของการบริการด้านสภาพภูมิอากาศ” (State of Climate Services) ที่เผยว่าระหว่างปี พ.ศ. 2558-2561 จำนวนประชากรโลกที่ได้รับผลกระทบจากภัยความอดอยากเพิ่มขึ้นจาก 785 ล้านคนมาอยู่ที่ 820 ล้านคนในเวลาเพียงไม่กี่ปี เพราะสภาพอากาศที่แปรปรวนทำให้เกิดภัยแล้งในแอฟริกา เอเชีย และอเมริกาเหนือ (5)
WMO เตือนว่า หากอุณหภูมิของโลกร้อนขึ้น 2 องศาเซลเซียสจะทำให้ประชากรโลกอีก 189 ล้านคนตกอยู่ในสภาพเดียวกัน หรือเพิ่มขึ้นจากตัวเลขในขณะนี้ถึง 20% พร้อมกับย้ำว่าตอนนี้โลกของเราได้ร้อนขึ้นถึง 1.1 องศาเซลเซียสจากระดับก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมแล้ว และเรากำลังใช้ชีวิตอยู่ในทศวรรษที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ (5)
แกรนท์ แอลเลน (Grant Allen) ศาสตราจารย์ด้านบรรยากาศศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว The Guardian ของอังกฤษว่า อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นนี้ไม่ได้หมายความว่าฤดูร้อนจะร้อนขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น แต่หมายถึงความถี่ที่สภาพอากาศทั่วโลกจะรุนแรงมากขึ้น ทั้งภัยแล้ง คลื่นความร้อน น้ำท่วม และความถี่ของพายุไต้ฝุ่นในเขตร้อน (6)
ดังนั้น สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่กำลังเป็นภัยคุกคามอยู่นี้ นอกจากมนุษย์โลกจำต้องแบกรับชะตากรรมร่วมกันแล้ว มันยังเป็นสัญญาณเตือนด้วยว่าทศวรรษที่ร้อนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์นี้ยังมองไม่เห็นทางออกว่าจะมีจุดจบลงอย่างไร และเมื่อใด
อ้างอิง
- World Meteorological Organization. (November 25, 2019). “Greenhouse gas concentrations in atmosphere reach yet another high”.
https://public.wmo.int/en/media/press-release/greenhouse-gas-concentrations-atmosphere-reach-yet-another-high
- Agence France-Presse. (December 4, 2019). “November 2019 was hottest on record: data”. The Jakarta Post.
https://www.thejakartapost.com/news/2019/12/04/november-2019-was-hottest-on-record-data.html
- Livni, Ephrat. (July 21, 2019). “Earth just experienced the hottest June in at least 140 years”. Quartz.
https://qz.com/1671243/2019-had-the-hottest-june-on-earth-in-at-least-140-years/
- Baynes, Chris. (November 6, 2019). “October was hottest in Earth’s recorded history, say scientists”. The Independent.
https://www.independent.co.uk/news/science/october-hottest-temperature-record-earth-eu-climate-change-a9188121.html
- Global Environment Facility. (December 05, 2019). “Climate extremes driving global hunger, says WMO”. Climate Change News.
- Harvey, Fiona. (December 03, 2019). “Decade of ‘exceptional’ heat likely to be hottest on record, experts say”. The Guardian
https://www.theguardian.com/environment/2019/dec/03/decade-of-exceptional-heat-likely-to-be-hottest-on-record-experts-say