สถานการณ์คุณภาพอากาศปี 64 ภาพรวมแนวโน้มดีขึ้นกว่าปีก่อน นครศรีฯ ดีที่สุด ลำปางติดยอดแย่

นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า สถานการณ์คุณภาพอากาศ ปี 2564 ภาพรวมคุณภาพอากาศดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 มีค่าเฉลี่ยรายปีทั่วประเทศ 21 มคก./ลบ.ม. (ลดลงจากปี 2563 ร้อยละ 9) ฝุ่นละออง PM10 มีค่าเฉลี่ยรายปีทั่วประเทศ 40 มคก./ลบ.ม. (ลดลงจากปี 2563 ร้อยละ 7) 

นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ

สำหรับก๊าซโอโซน มีค่าเฉลี่ย 8 ชั่วโมงสูงสุด เฉลี่ยทั้งประเทศ 84 มคก./ลบ.ม. (เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ร้อยละ 2) มลพิษหลักที่ยังเป็นปัญหาในพื้นที่เดิม คือ ฝุ่นละออง PM2.5 (กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และพื้นที่ภาคเหนือ) ฝุ่นละออง PM10 (ต.หน้าพระลาน จ.สระบุรี) และก๊าซโอโซน (พื้นที่ทั่วไปในทั่วประเทศที่ไม่ใช่บริเวณริมถนน)

นอกจากนี้ จังหวัดที่มีคุณภาพอากาศดีที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ นครศรีธรรมราช นราธิวาส ยะลา สงขลา และสตูล ตามลำดับ ซึ่งไม่มีจำนวนวันที่มลพิษทางอากาศเกินค่ามาตรฐาน จังหวัดที่มีปัญหาคุณภาพอากาศมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ลำปาง เชียงราย สระบุรี ตาก และพิษณุโลก ตามลำดับ โดยมีจำนวนวันที่ฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐาน 70 68 66 60 และ 57 วัน ตามลำดับ 

มาตรการและแนวทางจัดการคุณภาพอากาศในภาพรวม คือ การลดมลพิษที่แหล่งกำเนิด ควบคุมไม่ให้มีการเผาในที่โล่งช่วงที่มีฝุ่นละอองสูง นโยบายส่งเสริมการตัดอ้อยสด ลดอ้อยไฟไหม้ ขอความร่วมมือประชาชนลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล และหมั่นบำรุงรักษาเครื่องยนต์ไม่ให้ก่อควันดำ ส่งเสริมการปฏิบัติงานแบบ Work From Home ในช่วงที่ปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 สูง และเพิ่มพื้นที่สีเขียวพื้นที่วิกฤต

สำหรับกรุงเทพฯ และปริมณฑล สถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 ปี 2564 ภาพรวมทั้งพื้นที่มีแนวโน้มดีขึ้น จำนวนวันที่ฝุ่นละออง PM2.5 เกินค่ามาตรฐาน 67 วัน ลดลงจากปีที่ผ่านมา (ร้อยละ 9) 

การขับเคลื่อนมาตรการตามแผนเฉพาะกิจเพื่อการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง 12 ข้อ ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติ การจัดการปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ภายใต้การบริหารจัดการของศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) มีการรายงานสถานการณ์แบบ Real-time ผ่านเว็บไซต์ Air4Thai.com แอปพลิเคชัน Air4Thai และ Facebook “ศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.)” 

นอกจากนี้ มีการพยากรณ์ฝุ่นละอองและแจ้งเตือนล่วงหน้า 7 วัน เพื่อให้หน่วยงานและประชาชนเตรียมรับมือสถานการณ์ รวมทั้งร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจจับรถควันดำ การดำเนินโครงการร่วมกับภาคเอกชนภายใต้โครงการบำรุงรักษารถ ลดฝุ่น PM2.5 ควบคุมไม่ให้มีการเผาในที่โล่งในช่วงที่ฝุ่นละอองสูง และมาจากประชาชนลดกิจกรรมการเดินทาง

ด้านสถานการณ์หมอกควันภาคเหนือ มีแนวโน้มดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา จำนวนวันที่ฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐาน 103 วัน (ลดลงจากปี 2563 ร้อยละ 8) จุดความร้อนสะสมมีค่า 61,776 จุด (ลดลงจากปี 2563 ร้อยละ 52) ปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 เฉลี่ย 40 มคก./ลบ.ม. (ลดลงจากปี 2563  ร้อยละ 13) 

สาเหตุหลักมาจากการเผาในพื้นที่การเกษตรจำนวนมาก ประกอบกับสภาพอากาศที่แห้งแล้ง ส่งผลให้มีการลุกลามของไฟป่าอย่างรวดเร็ว โดยพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือมีพื้นที่เผาไหม้รวม 9.742 ล้านไร่ โดย 5 จังหวัดที่มีพื้นที่เผาไหม้สูงสุด ได้แก่ ลำปาง แม่ฮ่องสอน เพชรบูรณ์ ตาก และนครสวรรค์ 

การจัดการแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือได้มีการลงพื้นที่ติดตามผลการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันในระดับพื้นที่ มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการเฝ้าระวัง เช่น เทคโนโลยีอวกาศตรวจวัดและพยากรณ์อากาศ Line chatbot: Firemanth บัญชาการเฝ้าระวังและดับไฟป่า การบริหารจัดการเชื้อเพลิงแบบครบวงจร (ชิงเก็บลดเผา และแอปพลิเคชันบริหารการเผาในที่โล่ง)

ขณะที่ ต.หน้าพระลาน จ.สระบุรี ฝุ่นละออง PM10 มีจำนวนวันที่เกินค่ามาตรฐาน 101 วัน (เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ร้อยละ 10) เนื่องจากการฟุ้งกระจายของฝุ่นละอองจากโรงโม่บดย่อยหิน โรงปูนซีเมนต์ โรงปูนขาว เหมืองหินในพื้นที่และพื้นที่ใกล้เคียง รวมถึงการจราจร การบรรทุกขนส่งในพื้นที่ และถนนสาธารณะที่มีสภาพชำรุด ปริมาณฝุ่นละออง PM10 เฉลี่ยรายปี 98.6 มคก./ลบ.ม. (ลดลงจากปี 2563 ร้อยละ 8) 

ส่วนพื้นที่ ต.มาบตาพุด จ.ระยอง สารอินทรีย์ระเหยง่ายประเภทสาร 1,3 บิวทาไดอีน และสาร 1,2 ไดคลอโรอีเทน มีแนวโน้มคงที่ แต่สารเบนซีนมีแนวโน้มสูงขึ้นเล็กน้อยจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากแหล่งกำเนิดมลพิษหลักในพื้นที่คือโรงงานอุตสาหกรรมเคมีที่มีการปล่อยสารอินทรีย์ระเหยง่ายออกสู่บรรยากาศ 

สถานการณ์หมอกควันข้ามแดนและไฟป่าพรุภาคใต้ ปี 2564 ภาพรวมมีสถานการณ์ที่ดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา พบจำนวนจุดความร้อนในพื้นที่ป่าพรุเล็กน้อย และพบฝุ่นละออง PM2.5 เกินค่ามาตรฐาน (ค่าสูงสุดเท่ากับ 58 มคก./ลบ.ม. ในพื้นที่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต) ทั้งนี้ คพ.ได้ประสานกระทรวงการต่างประเทศ และสำนักเลขาธิการอาเซียนอย่างใกล้ชิดภายใต้กลไกขับเคลื่อนข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน 

นอกจากนี้ประเทศไทยยังได้เสนอให้ประเทศสมาชิกอาเซียนร่วมกันตั้งเป้าหมายในการลดจุดความร้อนในภูมิภาคลงร้อยละ 20 ตาม Roadmap ฉบับใหม่ ซึ่งอยู่ระหว่างปรับปรุงเพื่อเป็นเป้าหมายในการป้องกันและแก้ไขปัญหาในภูมิภาคอย่างยั่งยืนต่อไป 

Related posts

จัดเดิน-วิ่ง มินิมาราธอน ปีที่ 2 ส่งต่อขาเทียมช่วยผู้พิการยากไร้

‘COP-19’ ดันอาเซียน เป็นภูมิภาคปลอด หมอกควัน

5 ปีอุณภูมิโลกส่อทะลุ 1.5 องศา ไทยเร่งรับมือ 6 สาขาเสี่ยงระดับพื้นที่