สภาพอากาศสุดขั้ว กำลังทำงาน “พายุทราย” ครั้งใหญ่พัดถล่มอิรัก เปลี่ยนท้องฟ้าเป็นสีแดงฉาน ราววันสิ้นโลก สร้างวิกฤตสุขภาพ และหยุดชะงักการคมนาคม
นับตั้งแต่วันที่ 14 เม.ย. 2568 อิรักเผชิญพายุทรายครั้งใหญ่ที่สุดของปี พัดถล่มพื้นที่ตอนกลางและตอนใต้ของประเทศ ส่งผลให้ท้องฟ้ากลายเป็นสีส้ม ทัศนวิสัยลดลงเหลือไม่ถึง 1 กิโลเมตร และประชาชนมากกว่า 1,800 คนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจากปัญหาการหายใจ โดยเฉพาะในจังหวัดมูทันนา ซึ่งมีผู้ป่วยฉุกเฉินจากระบบทางเดินหายใจอย่างน้อย 700 ราย ทางการได้สั่งปิดท่าอากาศยานในจังหวัดนาจาฟและบาสราชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย
พายุทรายในอิรัก: ปรากฏการณ์ท้องฟ้าแดงฉานและสาเหตุที่ซ่อนอยู่
“พายุทราย” ที่พัดถล่ม ทำให้ภาพของท้องฟ้าในอิรักที่เปลี่ยนเป็นสีแดงส้มราวกับฉากในภาพยนตร์วันสิ้นโลก ได้สร้างความตื่นตระหนกและความสนใจไปทั่วโลก โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย ที่ผู้คนต่างแชร์ภาพและคลิปของปรากฏการณ์นี้ ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดจากพายุทรายขนาดใหญ่ที่พัดถล่มหลายพื้นที่ในอิรัก แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนสี และพายุทรายนี้ส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง?
พายุทรายคืออะไร?
พายุทราย (Sandstorm) หรือบางครั้งเรียกว่าพายุฝุ่น (Dust Storm) เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นเมื่อลมแรงพัดพาเม็ดทราย และอนุภาคฝุ่นจากพื้นดินแห้งแล้งขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ โดยทั่วไปพบได้บ่อยในพื้นที่ทะเลทรายหรือเขตแห้งแล้ง เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ หรือบางส่วนของเอเชีย ในอิรัก ซึ่งมีภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นทะเลทรายและที่ราบแห้งแล้ง พายุทรายถือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำ แต่ความถี่และความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานั้นน่ากังวล
ทำไม “พายุทราย” ทำท้องฟ้าเป็นสีแดง?
สีแดงฉานของท้องฟ้าในอิรัก ระหว่างเกิดพายุทรายมีสาเหตุมาจากการกระเจิงของแสง (Light Scattering) เมื่อพายุทรายพัดพาอนุภาคฝุ่นและทรายจำนวนมหาศาลขึ้นสู่อากาศ อนุภาคเหล่านี้จะทำหน้าที่เหมือนตัวกรองแสงจากดวงอาทิตย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อนุภาคที่มีขนาดเล็กจะกระเจิงแสงสีน้ำเงินและสีเขียวออกไปมากกว่า ทำให้แสงสีแดงและส้ม ซึ่งมีช่วงคลื่นยาวกว่า สามารถทะลุผ่านและมองเห็นได้ชัดเจน ส่งผลให้ท้องฟ้าดูเหมือนถูกย้อมด้วยสีแดงหรือส้มเข้ม โดยเฉพาะในช่วงที่ฝุ่นหนาแน่นมาก เช่น ระหว่างพายุทรายขนาดใหญ่
นอกจากนี้ ความเข้มข้นของฝุ่นในอากาศ ยังทำให้ทัศนวิสัยลดลงอย่างมาก บางครั้งเหลือเพียงไม่กี่ร้อยเมตร และเมื่อแสงแดดถูกบดบัง ท้องฟ้าจะยิ่งดูมืดมิดและน่ากลัวยิ่งขึ้น ปรากฏการณ์นี้คล้ายกับเหตุการณ์ท้องฟ้าเปลี่ยนสีจากควันไฟป่าหรือเถ้าภูเขาไฟในพื้นที่อื่นๆ ของโลก
สาเหตุของพายุทรายในอิรัก
- การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลกส่งผลให้อิรักเผชิญกับความแห้งแล้งที่รุนแรงขึ้น ฝนตกน้อยลง และอุณหภูมิสูงขึ้น สภาพดินที่แห้งและขาดความชุ่มชื้นทำให้เม็ดทรายและฝุ่นถูกพัดพาได้ง่ายเมื่อมีลมแรง นักวิทยาศาสตร์ระบุว่าอิรักเป็นหนึ่งในห้าประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุด
- การเสื่อมโทรมของผิวดิน
การทำเกษตรกรรมที่ไม่ยั่งยืน การตัดไม้ทำลายป่า และการจัดการทรัพยากรน้ำที่ไม่เหมาะสมทำให้ผิวดินในอิรักเสื่อมโทรม ดินที่เคยยึดเกาะกันแน่นกลายเป็นผงฝุ่นที่พร้อมปลิวไปกับลม
- กระแสลมแรงตามฤดูกาล
ในช่วงฤดูร้อน อิรักมักเผชิญกับลมแรงจากทะเลทรายที่พัดพาทรายและฝุ่นจากพื้นที่รอบๆ เข้าสู่เมืองใหญ่ เช่น แบกแดด นาจาฟ และบาสรา ซึ่งลมเหล่านี้ยิ่งทวีความรุนแรงเมื่อผสมกับสภาพอากาศที่แห้งแล้ง
ผลกระทบของพายุทราย
- สุขภาพ
ฝุ่นละอองขนาดเล็กจากพายุทรายสามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ทำให้เกิดอาการหายใจลำบาก โรคหอบหืดกำเริบ หรือแม้แต่ปอดอักเสบ ในเหตุการณ์ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2568 มีรายงานว่าผู้คนกว่า 1,800 รายต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจากปัญหาทางเดินหายใจ และในปี 2565 มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1 รายจากพายุทรายที่รุนแรง
- การคมนาคม
ทัศนวิสัยที่ลดลงทำให้การเดินทางทั้งทางบกและทางอากาศหยุดชะงัก สนามบินในเมืองนาจาฟและบาสราต้องปิดชั่วคราว และการจราจรบนท้องถนนต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวัง
- เศรษฐกิจและสังคม
พายุทรายทำให้หน่วยงานราชการ โรงเรียน และธุรกิจต้องปิดชั่วคราว ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันและเศรษฐกิจในพื้นที่ นอกจากนี้ การสูญเสียหน้าดินยังกระทบต่อการเกษตร ซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประชาชน
กระทรวงสิ่งแวดล้อมอิรักเตือนว่า ประเทศอาจเผชิญ “วันฝุ่น” เพิ่มขึ้นในทศวรรษหน้า เนื่องจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความแห้งแล้ง และการขาดแคลนน้ำฝน ซึ่งทำให้พายุทรายเกิดบ่อยและรุนแรงขึ้น
ในปี 2565 อิรักเคยเผชิญพายุทรายถึง 8 ลูกในช่วงเวลาเพียง 1 เดือนครึ่ง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และผู้ป่วยจากปัญหาการหายใจกว่า 5,000 คน
อ้างอิง :