โลกร้อนซ้ำเติมแอฟริกา น้ำท่วมทะเลทรายซาฮารา ฝนถล่มคร่านับพันชีวิต

by Chetbakers

น้ำท่วมใหญ่ทะเลทรายซาฮาราทำให้ทะเลสาบที่เคยแห้งแล้งมานานร่วม 50 ปีกลับเต็มไปด้วยน้ำ ซึ่งอุทกภัยที่เกิดในหลายประเทศของแอฟริกาทำให้คนตายเพียบ

ทะเลทรายซาฮาราอยู่ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา ครอบคลุมดินแดน 10 ประเทศด้วยกัน คือ อียิปต์, ซูดาน, ลิเบีย, เชด, ไนเกอร์, อัลจิเรีย, มอร็อกโค, ตูนิเซีย, มัวริตาเนีย, เอธิโอเปีย และสะฮาราของเสปน กินเนื้อที่ถึง 3,500,000 ตารางไมล์ ส่วนกว้างที่สุด 1,100 ไมล์ ส่วนยาวมากที่สุด 3,100 ไมล์ นับเนื่องจากฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกทางทิศตะวันตกของทวีป ไปจนจดฝั่งทะเลแดงทางทิศตะวันออก จัดเป็นทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไพศาลที่สุดในโลก

พื้นที่ทั่วไปส่วนใหญ่เป็นทะเลทรายล้วนๆ มีภูเขาทรายและเนินทรายอยู่ทั่วไป บางแห่งที่มีน้ำใต้ดินหรือแม่น้ำไหลผ่านเท่านั้น จึงมีพืชพันธุ์ต่างๆ ขึ้น และมีพลเมืองอาศัยอยู่เป็นประจำ แม่น้ำที่ไหลผ่านทะเลทรายแห่งนี้คือ แม่น้ำไนล์ ซึ่งไหลจากทางตอนใต้ของทวีป ผ่านอียิปต์ออกสู่ทะเลเมดิเตอเรเนียน นับเป็นสายเลือดสำคัญของอียิปต์ก็ว่าได้

บางส่วนของทะเลทรายที่มีน้ำใต้ดินพุหรือซึมขึ้นมาจะมีพันธุ์ไม้บางชนิดขึ้นงอกงาม เช่น อินทผลัม เป็นต้น ทำให้ดูเป็นหย่อมเขียวชอุ่มอยู่กลางทะเลทราย เหมือนกับเกาะในทะเล พื้นที่ชนิดนี้เรียกว่า โอเอซิส ( OASIS ) และมีอยู่ทั่วๆไป โดยแม่น้ำไนล์ที่ไหลผ่านมีต้นกำเนิดจากทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา ไหลผ่านขึ้นไปทางตอนเหนือผ่านตอนกลางอียิปต์ ออกสู่ทะเลเมดิเตอเรเนียน แม่น้ำไนล์จึงเป็นเสมือนสายเลือดของอียิปต์ แต่ในภาพรวมทะเลทรายแห่งนี้เป็นส่วนที่แห้งแล้งกันดารมากที่สุดในโลก

เรียกได้ว่าแทบไม่มีฝนตกในฤดูร้อน ทางการโมร็อกโกระบุว่า ปริมาณน้ำฝนในช่วง 2 วันในเดือนที่แล้วสูงเกินค่าเฉลี่ยรายปี ฝนที่ตกหนักและไม่เคยไม้พบเห็นทำให้เกิดทะเลสาบน้ำสีฟ้าท่ามกลางต้นปาล์มและเนินทรายในทะเลทรายซาฮารา ส่งผลให้ภูมิภาคที่แห้งแล้งที่สุดบางแห่งมีน้ำในปริมาณมากกว่าที่เคยพบเห็นในรอบหลายทศวรรษ

ทะเลทรายทางตะวันออกเฉียงใต้ของโมร็อกโกเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีแห้งแล้งที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และแทบไม่มีฝนตกในช่วงปลายฤดูร้อน รัฐบาลโมร็อกโกกล่าวว่า ในหมู่บ้าน Tagounite ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวง Rabat ไปทางใต้ประมาณ 280 ไมล์ ฝนตกมากกว่า 100 มิลลิเมตรภายในเวลา 24 ชั่วโมง ต้นปาล์มที่ยืนอย่างโดเดี่ยวมานานกลับถูกน้ำท่วม

ดาวเทียมของ NASA แสดงให้เห็นน้ำไหลบ่าเข้าเติมเต็มทะเลสาบอิริกี ทะเลสาบอันโด่งดังระหว่างซาโกราและตาทา ซึ่งแห้งแล้งมานานร่วม 50 ปี “ผ่านไป 30 ถึง 50 ปีแล้วที่เราไม่ได้เจอฝนตกมากขนาดนี้ในช่วงเวลาสั้นๆ” ฮูสซีน ยูอาเบบ จากกรมอุตุนิยมวิทยาของโมร็อกโกกล่าว

นักอุตุนิยมวิทยาเรียกฝนครั้งนี้ว่า พายุนอกเขตร้อน อาจทำให้สภาพอากาศในภูมิภาคนี้เปลี่ยนแปลงไปในอีกไม่กี่เดือนหรือไม่กี่ปีข้างหน้า เนื่องจากอากาศจะกักเก็บความชื้นไว้มากขึ้น ทำให้เกิดการระเหยมากขึ้นและทำให้เกิดพายุมากขึ้น

ที่ผ่านมาเกิดภัยแล้งต่อเนื่องมา 6 ปี ซึ่งได้สร้างความท้าทายให้กับโมร็อกโกอย่างมาก เพราะทำให้เกษตรกรต้องทิ้งทุ่งนาเป็นที่รกร้าง เมืองและหมู่บ้านต้องจัดสรรน้ำอย่างเหมาะสม

อย่างไรก็ตาม น้ำที่ไหลทะลักผ่านผืนทรายและโอเอซิสทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 20 รายในโมร็อกโกและแอลจีเรีย นอกจากนั้นได้สร้างความเสียหายต่อพืชผลทางการเกษตรของเกษตรกร ทำให้รัฐบาลต้องจัดสรรเงินช่วยเหลือฉุกเฉิน

ทั้งนี้ CNN ได้รายงานก่อนหน้านี้ว่าแม้ทะเลทรายซาฮาราจะไม่มีพื้นที่สีเขียวมากนัก แต่หลังจากมีฝนตกลงมาอย่างหนักผิดปกติ ก็สามารถมองเห็นสีเขียวได้จากอวกาศ โดยพบว่ามีพืชพรรณบานสะพรั่งในสถานที่ที่แห้งแล้งที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในพื้นที่ทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮาราซึ่งโดยปกติจะแห้งแล้ง ซึ่งไม่เป็นที่แปลกใจกับสาเหตุของเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ที่มาจากภาวะโลกร้อน

ภาพถ่ายดาวเทียมจากดาวเทียม MODIS ของ NASA แสดงให้เห็นขอบเขตของพืชพรรณ (สีเขียว) เหนือทวีปแอฟริกาเมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2024 เทียบกับวันเดียวกันในปี 2023 พืชพรรณจะแผ่ขยายไปทางเหนือมากขึ้นในปี 2024 ในสถานที่ต่างๆ เช่น ไนเจอร์และชาด จะเขียวชอุ่มกว่า

Karsten Haustein นักวิจัยด้านสภาพอากาศจากมหาวิทยาลัยไลพ์ซิกในเยอรมนี กล่าวว่า สาเหตุที่อาจเป็นไปได้ 2 ประการสำหรับสถานการณ์ที่แปลกประหลาดนี้คือการเปลี่ยนผ่านจากเอลนีโญเป็นลานีญา และภาวะโลกร้อนขึ้น “เขตบรรจบระหว่างเขตร้อนซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้แอฟริกาเขียวขจีขึ้นจะเคลื่อนตัวไปทางเหนือมากขึ้นเมื่อโลกอุ่นขึ้น” Haustein อธิบาย

การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมานี้ ระบุว่า ปริมาณฝนที่มากขึ้นในด้านเหนือของซาฮาราอาจเกิดบ่อยขึ้นในอีกสองสามทศวรรษข้างหน้า เนื่องจากระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากเชื้อเพลิงฟอสซิลเพิ่มสูงขึ้นและโลกก็อบอุ่นมากขึ้นตามไปด้วย

สัญญาณร้ายของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่ใช่ว่าการมีพืชพรรณเขียวขจีแล้วจะดีด้านเดียว แต่ยังได้รับผลกระทบจากพายุเฮอริเคนในมหาสมุทรแอตแลนติกและส่งผลร้ายแรงต่อประเทศในแอฟริกาหลายประเทศในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาด้วย

ในขณะดียวกันประเทศที่น่าจะมีฝนตกมากขึ้นกลับมีฝนตกน้อยลง เนื่องจากพายุเคลื่อนตัวไปทางเหนือ โดยเฉพาะบางส่วนของไนจีเรียและแคเมอรูนที่มักจะเจอฝนน้อยในช่วงเดือน ก.ค. ถึง ก.ย. แต่กลางเดือน ก.ค.ที่ผ่านมากลับมีปริมาณน้ำฝนเพียง 50 – 80% ของปริมาณปกติเท่านั้น

พื้นที่ทางตอนเหนือซึ่งโดยทั่วไปแล้วแห้งแล้ง เช่น บางส่วนของประเทศไนเจอร์ ชาด ซูดาน ลิเบีย และตอนใต้ของอียิปต์ ได้รับปริมาณน้ำฝนมากกว่า 400% ของปริมาณปกตินับตั้งแต่กลางเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา

พื้นที่ทางตอนเหนือของชาดซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลทรายซาฮารา โดยทั่วไปที่นี่จะมีฝนตกประมาณ 25.4 มิลลิเมตร ในช่วงกลางเดือน ก.ค.ถึงต้นเดือน ก.ย. แต่ปีนี้มีฝนตกประมาณ 76.2 มิลลิเมตรถึง 200 มิลลิเมตร นั่นเป็นสาเหตุทำให้เกิดน้ำท่วมรุนแรงในชาดและทำให้ประชาชนเกือบ 1.5 ล้านคน ได้รับผลกระทบ และมีผู้เสียชีวิตจากน้ำท่วมอย่างน้อย 340 รายในช่วงฤดูร้อนนี้

ขณะที่อุทกภัยครั้งร้ายแรงในไนจีเรียได้คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 220 ราย และทำให้ผู้คนหลายแสนคนต้องไร้ที่อยู่อาศัย ทั้งที่ปกติแล้วจะแห้งแล้ง เช่นเดียวกับซูดาน
ก็เกิดอุทกภัยร้ายแรงในช่วงปลายเดือน ส.ค. ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 132 ราย และบ้านเรือนถูกทำลายไปกว่า 12,000 หลัง

แน่นอนที่สุดว่า เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในหลายประเทศของแอฟริกาเป็นแนวโน้มที่มาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากเมื่อโลกอุ่นขึ้น โลกจะกักเก็บความชื้นได้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดมรสุมและเกิดน้ำท่วมรุนแรงมากขึ้น และนี่อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

อ้างอิง:
Oct 09, 2024 . Floods hit… the SAHARA! Desert is struck by its biggest deluge for decades, with water filling lake that had been dry for 50 years, Dailymail
Oct 08, 2024 . Flooding hits Sahara Desert after extremely rare rainfall, The Independent
Sep 13, 2024 . An unusual shift in the weather has turned the Sahara green, CNN

 

Copyright @2021 – All Right Reserved.