เมื่อวันที่ 22 มี.ค. 2565 เครือข่ายภาคประชาสังคมและประชาชนที่ติดตามการแก้ไขปัญหามลพิษอากาศได้ยื่นฟ้องคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.), รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ต่อศาลปกครองกลางกรณีละเลยต่อหน้าที่ในการป้องกันแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศฝุ่นละออง PM 2.5 ตั้งแต่ปี 2557 จนปัจจุบัน
ทั้งนี้ ส่งผลให้พื้นที่กรุงเทพมหนคร (กทม.) และพื้นที่จังหวัดภาคเหนือมีค่าฝุ่นละออง PM2.5 สูงกว่ามาตรฐาน ประชาชนต้องประสบปัญหาสุขภาพ โดยขอให้ศาลฯ มีคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีออกประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง กำหนดมาตรฐานฝุ่นละออง PM2.5 ในบรรยากาศทั่วไปให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล คือ ค่าเฉลี่ยราย 24 ชั่วโมงของฝุ่นละออง PM2.5 อยู่ที่ 37 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) และค่าเฉลี่ยรายปีของฝุ่นละออง PM2.5 อยู่ที่ 15 มคก./ลบ.ม.
นอกจากนี้ ออกประกาศค่ามาตรฐานควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียประเภทฝุ่นละออง PM2.5 จากโรงงานอุตสาหกรรมและกิจการประเภทอื่น ๆ ที่เป็นแหล่งกำเนิดฝุ่นละออง PM2.5 ให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล, ออกประกาศกำหนดค่าปริมาณของสารเจือปนในอากาศที่ระบายออกสู่สิ่งแวดล้อมให้มีค่าปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 ไม่เกินกว่ามาตรฐานที่กำหนด และเทียบเท่ามาตรฐานสากล
ออกประกาศกำหนดประเภทสารมลพิษหรือสารเคมีที่โรงงานต้องจัดทำรายงานข้อมูล ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 27 (พ.ศ. 2563) ออกตามความใน พ.ร.บ.โรงงาน 2535 โดยมีการรายงานฝุ่น PM2.5 อยู่ในบัญชีมลพิษและสารเคมีเป้าหมาย และจัดทำทำเนียบการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษ รวมถึงมาตรการที่มีประสิทธิภาพในการเผยแพร่ข้อมูลต่อสาธารณะเพื่อให้ประชาชนภาคประชาสังคม สามารถมีส่วนร่วมตรวจสอบ ป้องกันผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมได้
อนึ่ง ตัวแทนองค์กรผู้ยื่นฟ้อง ประกอบด้วย มูลนิธิเพื่อสันติภาพเขียว (Greenpeace Thailand) มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) มูลนิธิบูรณะนิเวศ (EARTH) สภาลมหายใจเชียงใหม่ สภาลมหายใจภาคเหนือ นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ประธานชมรมแพทย์ชนบท และ น.ส.นันทิชา โอเจริญชัย นักรณณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่ม Climate Strike Thailand
นพ.สุภัทร ในฐานะเป็นโจทก์ร่วมฟ้อง กล่าวว่า ค่ามาตรฐานของ PM2.5 ในประเทศไทยสูงกว่าค่าแนะนำคุณภาพอากาศโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ถึงเกือบ 5 เท่า เป็นมลพิษที่น่ากลัวที่ส่งผลต่อสุขภาพของประชาชน ในทางการแพทย์แม้โรงงานอุตสาหกรรมและโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอลซิลอ้างว่าปล่อยมลพิษไม่เกินค่ามาตรฐานของกรมควบคุมมลพิษ แต่ทุกความเข้มข้นที่เพิ่มขึ้นจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคที่เพิ่มขึ้น แม้คุณภาพอากาศไม่เกินมาตรฐาน แต่ประชาชนก็มีอาการป่วยซึ่งเกิดมาจากการรับมลพิษต่ำแต่เป็นระยะเวลานานได้ ซึ่งเรียกว่า chronic low dose exposure
ประกาศกระทรวงสาธารณสุขเรื่อง “ชื่อหรืออาการสำคัญของโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2563” ที่ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาลงวันที่ 1 ก.พ. 2564 ซึ่งกำหนดให้อาการผิดปกติทางสุขภาพจากฝุ่น PM2.5 เป็นโรคจากสิ่งแวดล้อม ยิ่งย้ำเตือนให้หน่วยงานรัฐด้านสิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรมต้องกยระดับมาตรฐาน PM2.5 ให้เข้มงวดขึ้นในการดำเนินงานเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมผลกระทบจากโรคสิ่งแวดล้อม
ประเทศไทยยังใช้มาตรฐาน PM2.5 ในบรรยากาศทั่วไป และกำหนดเกณฑ์ความเข้มข้น PM2.5 ที่ 91 ไมโครกรัมต่อลูกบากศ์เมตรขึ้นไปว่า “มีผลกระทบต่อสุขภาพ” มาเป็นเวลา 10 ปี กลายเป็นช่องว่างทั้งการเฝ้าระวัง การแจ้งเตือน และการเตือนภัย ในช่วงวิกฤตฝุ่น และการป้องกันผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 ในเชิงรุกเพื่อลดอัตราการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของประชากรไทยโดยรวม
น.ส.เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าวว่า ตามแนวทางการดำเนินงานระยะสั้น (2562-2564) ภายใต้แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ-การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง PM2.5 รัฐบาลต้องมีการจัดทำทำเนียบการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษ (Pollutant Release and Transfer Register: PRTR) ตามแผนแล้ว และควรจะมีการนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยเร็วที่สุด
อย่างไรก็ดี ร่างกฏหมายการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายสารมลพิษ (PRTR) ที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้จัดทำขึ้นและเปิดให้มีการรับฟังความคิดเห็นตามการชี้แจงของกระทรวงอุตสาหกรรมลงวันที่ 14 ก.พ. 2565 นั้นไม่มีข้อกำหนดให้มีการเผยแพร่ข้อมูลสู่สาธารณะ โดยเฉพาะรายละเอียดเกี่ยวกับแหล่งกำเนิดมลพิษ ชนิดและปริมาณสารมลพิษที่เกิดขึ้น ซึ่งถือเป็นหลักการสำคัญของกฎหมาย PRTR ที่ทั่วโลกใช้บังคับอยู่
นอกจากนี้ในร่างกฎหมายดังกล่าวยังไม่มี “ฝุ่น PM2.5” รวมอยู่ใน “บัญชีสารมลพิษและสารเคมีเป้าหมาย” ที่จะต้องตรวจวัดอีกด้วย คำชี้แจงดังกล่าวจึงคลุมเครือมาก”
ขณะเดียวกัน กรีนพีซ ประเทศไทย ได้จัดทำแคมเปญเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ PM2.5 โดยเปิดให้ประชาชนสามารถร่วมสนับสนุนการฟ้องร้องหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินหน้าที่ตามกฎหมาย และให้แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ PM2.5 อย่างเป็นรูปธรรมได้ที่ https://act.seasia.greenpeace.org/th/right-to-clean-air