‘เกษตรฟื้นฟู’ ยืดอายุโลก วิถีผลิตอาหารช่วยกักเก็บคาร์บอน

by Chetbakers

ภาคเกษตรกรรมปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากถึง 1 ใน 3 ของปริมาณทั้งหมดในโลก โดยภาคเกษตรของไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ 67.87 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์

สภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนอย่างรุนแรงและวิกฤตโลกร้อนในปัจจุบันได้กลายเป็นภัยคุกคามต่อมนุษยชาติ โดยหนึ่งในสาเหตุสำคัญมาจาก “ภาคเกษตรกรรม” ซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากถึง 1 ใน 3 ของปริมาณทั้งหมดในโลก (1) โดยภาคเกษตรกรรมของไทยเป็นหนึ่งในแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกคิดเป็น 15.03% ของการปล่อยทั้งหมดในปี 2023 หรือประมาณ 67.87 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO2e) โดยกิจกรรมหลักที่ก่อให้เกิดก๊าซเหล่านี้ ได้แก่ การปลูกพืชและการเลี้ยงสัตว์ เช่น การปลูกข้าว การใช้ปุ๋ยเคมี และการเผาเศษวัสดุทางการเกษตร การหมักในระบบย่อยอาหารของสัตว์เคี้ยวเอื้อง และการจัดการมูลสัตว์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ปริมาณก๊าซเรือนกระจกในประเทศเพิ่มขึ้น (7)

แนวทางการทำเกษตรแบบดั้งเดิมที่ใช้เครื่องจักรหนักและสารเคมีจำนวนมากไม่เพียงทำลายสมดุลของธรรมชาติ แต่ยังส่งผลให้ดินเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็วและขาดความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งได้ส่งผลกระทบไปจนถึงความมั่นคงทางอาหาร และยังสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจในระดับโลก โดยมีมูลค่าการสูญเสียถึง 400,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี นักวิชาการคาดการณ์ว่า หากไม่เร่งฟื้นฟูดินและระบบเกษตรในปัจจุบัน ภายใน 50 ปีข้างหน้า อาจไม่มีพื้นที่เพียงพอสำหรับการผลิตอาหารเพื่อเลี้ยงดูประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (1)

“เกษตรฟื้นฟู” หรือ Regenerative Agriculture กำลังได้รับความสนใจในฐานะทางออกสำคัญที่สามารถบรรเทาผลกระทบจากภาคเกษตรกรรมต่อสิ่งแวดล้อม วิถีการเกษตรนี้มุ่งเน้นการฟื้นฟูดินให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ ลดการใช้สารเคมี และสร้างสมดุลในระบบนิเวศอย่างยั่งยืน

ยิ่งไปกว่านั้น สถานการณ์โลกร้อนในปัจจุบันได้ก้าวข้ามจุดที่สามารถควบคุมได้ไปแล้ว ข้อมูลล่าสุดระบุว่าในปี 2023 โลกมีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1850 ซึ่งสูงกว่าช่วงยุคก่อนอุตสาหกรรมถึง 1.48 องศาเซลเซียส เป็นผลมาจากการใช้พลังงานฟอสซิลและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสะสมมาตลอดระยะเวลากว่า 170 ปี ทำให้ปัญหาโลกร้อนไม่เพียงแต่จะยังคงอยู่ แต่จะทวีความรุนแรงมากขึ้นหากไม่มีการแก้ไขอย่างจริงจัง และเป็นรูปธรรม (1)

แนวทางใหม่ที่เรียกว่า “เกษตรฟื้นฟู” หรือ Regenerative Agriculture กำลังได้รับความสนใจในฐานะทางออกสำคัญที่สามารถบรรเทาผลกระทบจากภาคเกษตรกรรมต่อสิ่งแวดล้อม วิถีการเกษตรนี้มุ่งเน้นการฟื้นฟูดินให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ ลดการใช้สารเคมี และสร้างสมดุลในระบบนิเวศอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ (1)

เกษตรฟื้นฟูเป็นระบบการผลิตอาหารที่เน้นฟื้นฟูสุขภาพดินและสร้างความสมดุลในระบบนิเวศ ต่างจากเกษตรกรรมแบบเดิมที่มุ่งปริมาณผลผลิตแต่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม ลดการใช้สารเคมีและการไถพรวนหน้าดิน พร้อมทั้งส่งเสริมการปลูกพืชหมุนเวียนและเลี้ยงสัตว์แบบผสมผสาน ทำให้เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพและความสามารถในการกักเก็บน้ำและคาร์บอนในดิน โดยดินที่ผ่านการฟื้นฟูสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเพิ่มผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหาโลกร้อน (2)

แนวทางนี้ยังช่วยลดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพที่รุนแรงในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา โดยพันธุ์พืชกว่า 90% และสัตว์เลี้ยงเพื่อการเกษตรครึ่งหนึ่งได้สูญหายไป ขณะที่พืชเพียง 9 ชนิดกลับครองสัดส่วน 66% ของการผลิตพืชผลทั่วโลก อีกทั้งยังเกี่ยวเนื่องไปจนถึงปัญหาสุขภาพ เช่น โรคอ้วนและทุพโภชนาการ (2)

“ดิน” คือหัวใจของการเกษตร ดินที่มีสุขภาพดีไม่เพียงช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรและคุณค่าทางโภชนาการของอาหาร แต่ยังทำหน้าที่สำคัญในการเก็บกักน้ำและคาร์บอน พร้อมทั้งสนับสนุนความหลากหลายทางชีวภาพ เพราะดินเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน และยังเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนขนาดใหญ่ที่ช่วยลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ แนวทางการเกษตรฟื้นฟูจึงมุ่งเน้นการฟื้นฟูและเพิ่มคุณภาพของดิน เช่น การลดการไถพรวน เพื่อลดการรบกวนจุลินทรีย์ในดินและช่วยกักเก็บคาร์บอนในระยะยาว (3)

ปัจจุบันทั่วโลกเริ่มให้ความสำคัญกับการปฏิรูปการเกษตรในหลากหลายภูมิภาค ทั้งในเอเชีย ละตินอเมริกา สหรัฐอเมริกา แคนาดา แอฟริกา ยุโรป ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ (3) ซึ่งมีตัวอย่างความสำเร็จของระบบเกษตรฟื้นฟูให้เห็นในหลายพื้นที่ เช่น ในแอฟริกา การนำระบบเกษตรฟื้นฟูมาใช้คาดว่าจะช่วยเพิ่มผลผลิตพืชได้ถึง 13% ภายในปี 2040 และจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 40% ในอนาคต ส่วนในยุโรปหากมีการนำระบบนี้ไปใช้ในพื้นที่เกษตรอย่างแพร่หลายจะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 6% ต่อปี ไม่เพียงเท่านั้น ระบบเกษตรฟื้นฟูยังช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งนับเป็นผลลัพธ์ที่สร้างประโยชน์ทั้งต่อสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน (1)

ในประเทศไทยเองก็มีตัวอย่างของการทำเกษตรฟื้นฟูที่น่าสนใจ อย่างเช่น อุดรออร์แกนิคฟาร์ม – Udon Organic Farm จังหวัดอุดรธานี ฟาร์มแห่งนี้มี “นิค” และ “เจน” สองพ่อลูกที่เริ่มต้นการทำเกษตรแบบดั้งเดิม ก่อนจะเปลี่ยนแนวทางไปสู่เกษตรฟื้นฟู หลังจากพบว่าดินในพื้นที่เริ่มเสื่อมโทรมจนผลผลิตลดลง การเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นจากลดการไถพรวนที่รบกวนโครงสร้างดิน และหันมาใช้วิธีปลูกพืชที่รักษาสมดุลธรรมชาติในดิน ผลลัพธ์ที่ได้คือดินค่อย ๆ ฟื้นตัว มีจุลินทรีย์เพิ่มขึ้น สิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศกลับมาอาศัยในพื้นที่ และผลผลิตทางการเกษตรก็ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง (4)

เกษตรฟื้นฟูไม่เพียงแต่ช่วยฟื้นฟูดินเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเพิ่มศักยภาพของดินในการกักเก็บคาร์บอน ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อน และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ดินที่มีสุขภาพดีสามารถกักเก็บคาร์บอนได้มากกว่าต้นไม้ถึง 3 เท่า (4)

แต่ดินที่อุดมสมบูรณ์และดีต่อสุขภาพเป็นทรัพยากรที่ไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ในเวลาอันสั้น เนื่องจากการสร้างดินที่สมบูรณ์เพียงครึ่งเซนติเมตรต้องใช้เวลาถึง 1,000 ปี การศึกษาหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่า โลกกำลังสูญเสียดินในอัตราที่เร็วกว่าอัตราการฟื้นตัวถึง 50-100 เท่า โดย FAO ระบุว่า ดินที่เทียบเท่าสนามฟุตบอลหนึ่งสนามถูกกัดเซาะทุก ๆ 5 วินาที อย่างไรก็ตาม วิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ว่า การใช้สารอาหารที่เหมาะสมสามารถช่วยฟื้นฟูสุขภาพของดินและลดการเสื่อมโทรมได้ การจัดการสุขภาพของดินเป็นกุญแจสำคัญในความพยายามระดับโลกในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากภาคเกษตรกรรมครอบคลุมพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของโลก (5)

เกษตรฟื้นฟูจึงถือเป็นอีกหนึ่งคำตอบของระบบการผลิตอาหารที่ใส่ใจทั้งคนปลูก คนกิน และสิ่งแวดล้อม โดยเน้นการจัดการความหลากหลายของพืชและปศุสัตว์อย่างยั่งยืน เพื่อเพิ่มผลผลิตและรายได้ พร้อมกับใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นอย่างคุ้มค่า อีกทั้งยังช่วยปกป้องดิน น้ำ และสภาพภูมิอากาศ เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ และลดการปนเปื้อนจากสารเคมี และพืชดัดแปลงพันธุกรรม (6)

ในฐานะผู้บริโภค การรู้ที่มาของอาหารที่เรากินไม่เพียงช่วยให้มั่นใจว่าอาหารปลอดภัยต่อสุขภาพ แต่ยังช่วยให้เราสนับสนุนเกษตรกรที่ใช้วิธีการผลิตที่ไม่ทำร้ายสิ่งแวดล้อม การเลือกบริโภคอาหารจากเกษตรกรรมเชิงนิเวศอย่าง “เกษตรฟื้นฟู” จึงเป็นการดูแลสุขภาพของเรา พร้อมกับช่วยรักษาระบบนิเวศ และลดความเสี่ยงที่เกษตรกรต้องเผชิญจากการใช้สารเคมี นับเป็นการสร้างความยั่งยืนให้กับทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคไปพร้อม ๆ กัน โดยที่โลกถูกทำร้ายน้อยลงอีกด้วย (6)

อ้างอิง:
(1) https://www.thesustain.space/bitesize/เกษตรฟื้นฟู-โลกร้อน/
(2) https://biothai.net/ecological-agriculture/6215
(3) https://www.eeci.or.th/news/regenerative-agriculture-ความยั่งยืนของดินเพ/
(4) https://www.igreenstory.co/regenerative-agriculture…/
(5) https://www.weforum.org/…/soil-climate-change…/
(6) https://www.greenpeace.org/thailand/sustainable-agriculture/
(7) https://hkm.hrdi.or.th/Knowledge/detail/698

 

Copyright @2021 – All Right Reserved.