รายงานล่าสุดจาก Oceana เผยตัวเลขชวนสะเทือนใจ คาดการณ์ว่า ภายในปี 2030 ขยะพลาสติกจาก Coca-Cola อาจท่วมมหาสมุทรถึง 603 ล้านกิโลกรัม หรือ 220,000 ล้านขวด ส่งผลร้ายต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพมนุษย์
วันที่ 26 มีนาคม 2025 องค์กรไม่แสวงหากำไรด้านสิ่งแวดล้อม Oceana ได้เผยแพร่รายงานการวิเคราะห์ฉบับใหม่ ที่สร้างความตื่นตัวให้กับสาธารณชน โดยระบุว่า ภายในปี 2030 ผลิตภัณฑ์ของ Coca-Cola อาจก่อให้เกิดขยะพลาสติกมากถึง 603 ล้านกิโลกรัมต่อปี ที่ไหลลงสู่มหาสมุทร และแหล่งน้ำทั่วโลก หากบริษัทไม่มีการเปลี่ยนแปลงแนวทางการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างจริงจัง
รายงานนี้มาพร้อมกับความกังวลที่เพิ่มมากขึ้น เกี่ยวกับผลกระทบของมลพิษพลาสติก โดยเฉพาะไมโครพลาสติก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์กำลังค้นพบความเชื่อมโยงกับปัญหาสุขภาพร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง ภาวะมีบุตรยาก โรคหัวใจ และความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน
Coca-Cola: ยักษ์ใหญ่แห่งวงการเครื่องดื่มและผู้ก่อมลพิษพลาสติกอันดับหนึ่ง
“Coca-Cola เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มรายใหญ่ที่สุดในโลก” Matt Littlejohn ผู้นำแคมเปญของ Oceana ที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหามลพิษจากองค์กรขนาดใหญ่ กล่าว “ด้วยขนาดและอิทธิพลของบริษัท พวกเขามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการรับมือกับวิกฤตมลพิษพลาสติกที่กำลังคุกคามมหาสมุทรและสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ”
จากการจัดอันดับในรายงานวิจัยปี 2024 ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science Advances พบว่า Coca-Cola ครองตำแหน่งผู้ก่อมลพิษพลาสติกจากแบรนด์ชั้นนำของโลก ตามมาด้วย PepsiCo, Nestlé, Danone และ Altria ผลกระทบจากพลาสติกของบริษัทเหล่านี้ ไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังส่งผลกระทบต่อชุมชนที่พึ่งพาแหล่งน้ำและท้องทะเลในการดำรงชีวิต
การคาดการณ์ที่น่าตกใจ: ขยะพลาสติก 603 ล้านกิโลกรัมในปี 2030
การประเมินของ Oceana มาจากการวิเคราะห์ข้อมูลบรรจุภัณฑ์ที่ Coca-Cola รายงานต่อสาธารณะในช่วงปี 2018-2023 ควบคู่กับการคาดการณ์การเติบโตของยอดขายในอนาคต โดยสมมติฐาน “ธุรกิจดำเนินไปตามปกติ” (Business as Usual) ซึ่งหมายถึงการที่บริษัทไม่มีการปรับเปลี่ยนนโยบายหรือแนวทางในการลดการใช้พลาสติกอย่างมีนัยสำคัญ ผลลัพธ์จากการวิเคราะห์ชี้ว่า ภายในปี 2030 การใช้พลาสติกของ Coca-Cola อาจสูงถึง 4,130 ล้านกิโลกรัมต่อปี โดยในจำนวนนี้ คาดว่า ประมาณ 603 ล้านกิโลกรัมจะกลายเป็นขยะที่ไหลลงสู่แหล่งน้ำและมหาสมุทร
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ตัวเลข 603 ล้านกิโลกรัมนี้ เทียบเท่ากับขวดพลาสติกขนาดครึ่งลิตรจำนวน 220,000 ล้านขวด ซึ่งหากวางเรียงต่อกันจะสามารถพันรอบโลกได้หลายรอบ การคำนวณนี้ใช้แนวทางที่ผ่านการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งพัฒนาโดยทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติ และตีพิมพ์ในวารสาร Science ปี 2020 โดยพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น อัตราการรั่วไหลของขยะพลาสติกลงสู่แหล่งน้ำ อัตราการรีไซเคิล และการจัดการขยะในแต่ละภูมิภาคทั่วโลก
ไมโครพลาสติก: ภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
หนึ่งในประเด็นที่น่ากังวลที่สุดจากรายงานนี้คือ การเพิ่มขึ้นของไมโครพลาสติก ซึ่งเป็นอนุภาคพลาสติกขนาดเล็กที่เกิดจากการย่อยสลายของขยะพลาสติกในสิ่งแวดล้อม ไมโครพลาสติกเหล่านี้ สามารถเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารได้อย่างง่ายดาย โดยพบในน้ำดื่ม อาหารทะเล และแม้แต่ในร่างกายมนุษย์ จากการศึกษาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์พบว่า ไมโครพลาสติกอาจสะสมในอวัยวะสำคัญ เช่น ตับ ปอด และสมอง และอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว รวมถึง:
- โรคมะเร็ง: การสัมผัสกับสารเคมีที่ปล่อยจากไมโครพลาสติก เช่น Bisphenol A (BPA) และ Phthalates อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งบางชนิด
- ภาวะมีบุตรยาก: สารเคมีจากพลาสติกอาจรบกวนระบบฮอร์โมน ส่งผลต่อการเจริญพันธุ์ทั้งในเพศชายและเพศหญิง
- โรคหัวใจ: การสะสมของไมโครพลาสติกในหลอดเลือดอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดและหัวใจ
- ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน: การสัมผัสไมโครพลาสติกในระยะยาวอาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง
นอกจากผลกระทบต่อมนุษย์ ไมโครพลาสติกยังเป็นภัยคุกคามต่อสิ่งมีชีวิตในทะเล เช่น ปลา เต่า และนกทะเล ที่อาจกินพลาสติกเข้าไปโดยเข้าใจว่าเป็นอาหาร ส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บภายใน อาการขาดสารอาหาร หรือแม้แต่การตาย
ทางออกที่ Oceana เสนอ: บรรจุภัณฑ์ที่นำกลับมาใช้ซ้ำได้
เพื่อแก้ไขปัญหานี้ Oceana ได้เสนอแนวทางที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม นั่นคือการเปลี่ยนไปใช้ บรรจุภัณฑ์ที่นำกลับมาใช้ซ้ำได้ (Reusable Packaging) ซึ่งรวมถึง:
- ขวดแก้วที่นำกลับมาใช้ซ้ำได้: ขวดแก้วสามารถนำกลับมาล้างและใช้ซ้ำได้มากถึง 50 ครั้ง โดยไม่สูญเสียคุณภาพ และมีอัตราการรีไซเคิลที่สูงกว่าพลาสติกอย่างมาก ตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จ เช่น ระบบขวดแก้วแบบคืนเงินมัดจำ (Deposit Return System) ในหลายประเทศ เช่น เยอรมนี และเม็กซิโก ซึ่งช่วยลดปริมาณขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ขวดพลาสติก PET ที่หนากว่าและออกแบบเพื่อการใช้ซ้ำ: หากยังคงต้องใช้พลาสติก Oceana แนะนำให้ใช้ขวด PET ที่ออกแบบมาให้มีความทนทานและสามารถใช้ซ้ำได้ถึง 25 ครั้ง ซึ่งจะช่วยลดการผลิตขวดใหม่และลดปริมาณขยะลงอย่างมาก
- ระบบคืนขวดและรีฟิล: การพัฒนาระบบสถานีเติมเครื่องดื่ม (Refill Stations) ในชุมชนหรือร้านค้า เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถนำขวดของตนเองมาเติมเครื่องดื่มได้ โดยไม่ต้องซื้อขวดใหม่
นอกจากนี้ Oceana ยังเรียกร้องให้ Coca-Cola และบริษัทเครื่องดื่มอื่นๆ ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนในการลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง (Single-Use Plastic) และเพิ่มสัดส่วนของบรรจุภัณฑ์ที่นำกลับมาใช้ซ้ำได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด เช่น ภายในปี 2030
Coca-Cola และความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Coca-Cola ได้แสดงความพยายามในการจัดการปัญหาขยะพลาสติก เช่น การเปิดตัวแคมเปญ “World Without Waste” ซึ่งตั้งเป้าที่จะเก็บคืนและรีไซเคิลขวดหรือกระป๋องให้เทียบเท่ากับจำนวนที่จำหน่ายภายในปี 2030 รวมถึงการเพิ่มการใช้พลาสติกรีไซเคิล (rPET) ในบรรจุภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์และองค์กรอย่าง Oceana มองว่า ความพยายามเหล่านี้ยังไม่เพียงพอ และขาดความก้าวหน้าในเชิงปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณขยะที่บริษัทสร้างขึ้นในแต่ละปี
ในปี 2023 Coca-Cola รายงานว่า 56% ของบรรจุภัณฑ์ของบริษัทสามารถรีไซเคิลได้ แต่ตัวเลขนี้ไม่ได้สะท้อนถึงอัตราการรีไซเคิลจริงในหลายภูมิภาคทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาที่ระบบจัดการขยะยังไม่สมบูรณ์ นอกจากนี้ การมุ่งเน้นที่การรีไซเคิลเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ เนื่องจากการรีไซเคิลพลาสติกยังคงมีข้อจำกัด เช่น การสูญเสียคุณภาพของวัสดุและการใช้พลังงานสูง
รายงานของ Oceana เป็นเครื่องเตือนใจที่สำคัญว่า วิกฤตมลพิษพลาสติกกำลังอยู่ในจุดที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อบริษัทขนาดใหญ่อย่าง Coca-Cola แสดงความรับผิดชอบด้วยการลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง และเมื่อทุกฝ่ายร่วมมือกันเพื่อปกป้องมหาสมุทรและโลกของเราให้คงอยู่เพื่อคนรุ่นต่อไป
อ้างอิง :
- https://www.channelnewsasia.com/sustainability/over-603-million-kg-coke-plastic-waste-enter-waterways-study-5024971
- https://petromat.org/home/microplastics-human-health-impacts/
- https://www.coca-cola.com/th/th/media-center/recycle-me-4
- https://www.science.org/journal/sciadv
- https://europe.oceana.org/reports/rebuilding-western-mediterranean-fisheries-status-and-policy-recommendations-for-2025/