เกือบถูกลืม “แพลงก์ตอน” วีรบุรุษตัวจิ๋วแห่งท้องทะเล ตัวช่วยลดโลกร้อน บทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนโลกสู่การบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutrality ภายในปี 2050
ในโลกที่เต็มไปด้วยความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต แต่มีสิ่งมีชีวิตกลุ่มหนึ่งที่มักถูกมองข้าม นั่นคือ “แพลงก์ตอน” สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กจิ๋วที่ลอยอยู่ในมหาสมุทร อาจดูเหมือนไม่มีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับวาฬหรือฉลาม แต่ในความเป็นจริง แพลงก์ตอนคือหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนชีวิตทั้งในทะเลและบนบก บทบาทของมันยิ่งใหญ่เกินกว่าขนาดตัว จนถูกขนานนามว่าเป็น “ปอดของโลก”
ความสำคัญของแพลงก์ตอนต่อโลก : ผู้ผลิตออกซิเจนแห่งท้องทะเล
แพลงก์ตอนพืช (phytoplankton) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพลงก์ตอน ทำหน้าที่คล้ายพืชบนบก โดยใช้กระบวนการสังเคราะห์แสงเปลี่ยนแสงอาทิตย์ คาร์บอนไดออกไซด์ และน้ำให้กลายเป็นออกซิเจนและพลังงาน นักวิทยาศาสตร์คำนวณว่า แพลงก์ตอนพืชผลิตออกซิเจนมากถึง 50-70% ของปริมาณออกซิเจนทั้งหมดในชั้นบรรยากาศโลก ซึ่งมากกว่าป่าเขตร้อนอย่างป่าอเมซอนเสียอีก ออกซิเจนที่เราหายใจเข้าไปทุกวันนี้ ส่วนใหญ่มาจากสิ่งมีชีวิตตัวจิ๋วเหล่านี้ที่ลอยอยู่ในน้ำ ไม่ใช่แค่ต้นไม้ใหญ่ที่เราเห็นบนบกเท่านั้น
รากฐานของห่วงโซ่อาหารในมหาสมุทร
แพลงก์ตอน คือจุดเริ่มต้นของห่วงโซ่อาหารในระบบนิเวศทางทะเล แพลงก์ตอนพืชเป็นอาหารของแพลงก์ตอนสัตว์ (zooplankton) ซึ่งต่อมาเป็นเหยื่อของปลาเล็ก ปลาเหล่านี้ถูกกินโดยปลาใหญ่ และสุดท้ายกลายเป็นอาหารของสัตว์ทะเลขนาดมหึมา เช่น วาฬ โลมา หรือฉลาม แม้แต่นกทะเลที่บินโฉบเหนือน้ำ หรือมนุษย์ที่จับปลามากิน ล้วนพึ่งพาแพลงก์ตอนทั้งสิ้น หากแพลงก์ตอนหายไป ห่วงโซ่อาหารจะขาดสะบั้น สัตว์น้ำจะสูญพันธุ์ และมนุษย์ที่พึ่งพาอาหารจากทะเล เช่น ปลาทูน่า หรือกุ้ง จะเผชิญวิกฤตขาดแคลนอาหาร
ผู้ช่วยควบคุมสภาพภูมิอากาศ
แพลงก์ตอนมีบทบาทสำคัญในการลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ระหว่างการสังเคราะห์แสง แพลงก์ตอนพืชดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น เมื่อแพลงก์ตอนตายลง คาร์บอนที่สะสมในตัวมันจะจมลงสู่ก้นมหาสมุทรในรูปของ “หิมะทะเล” (marine snow) กระบวนการนี้ช่วยกักเก็บคาร์บอนไว้ในระยะยาว ลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ และชะลอการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรง นักวิทยาศาสตร์ระบุว่าแพลงก์ตอนเป็นหนึ่งในกลไกธรรมชาติที่สำคัญที่สุดในการต่อสู้กับวิกฤตสภาพอากาศที่มนุษย์ก่อขึ้น
ตัวบ่งชี้สุขภาพของมหาสมุทร
แพลงก์ตอนเปรียบเสมือนเครื่องวัดสุขภาพของท้องทะเล เพราะความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม เมื่ออุณหภูมิของน้ำสูงขึ้นจากภาวะโลกร้อน ความเป็นกรดของน้ำเพิ่มขึ้นจากมลพิษ หรือมีขยะพลาสติกปนเปื้อน แพลงก์ตอนจะได้รับผลกระทบเป็นอันดับแรก การลดลงของประชากรแพลงก์ตอน หรือการเปลี่ยนแปลงของชนิดพันธุ์ เป็นสัญญาณเตือนว่าระบบนิเวศทางทะเลกำลังอยู่ในภาวะวิกฤต และหากไม่มีการแก้ไข ผลกระทบจะขยายไปถึงสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ รวมถึงมนุษย์
เหตุผลที่นักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญเรียกร้องให้คำนึงถึงแพลงก์ตอน
ถึงแม้แพลงก์ตอนจะมีบทบาทสำคัญอย่างมหาศาล แต่สิ่งมีชีวิตเหล่านี้กำลังเผชิญกับภัยคุกคามจากกิจกรรมของมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญจึงออกมาเรียกร้องให้สังคมตระหนักและปกป้องแพลงก์ตอน
การประชุม UN General Assembly (UNGA79) ปลายปี 2024 รายงาน “Five Global Compact Reports to Know” ได้เผยแพร่แนวทางสำคัญที่มุ่งเน้นการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในด้านสิ่งแวดล้อม การพัฒนาอย่างยั่งยืน และการลดผลกระทบต่อสภาพอากาศ โดยหนึ่งในประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมากคือการเปิดตัว “แถลงการณ์แพลงก์ตอน” หรือ Plankton Manifesto
แถลงการณ์แพลงก์ตอน เป็นการประกาศสำคัญจากนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม ที่เรียกร้องให้มีการคำนึงถึงความสำคัญของแพลงก์ตอน (Plankton) ที่เป็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ในมหาสมุทร แต่มีบทบาทสำคัญในการรักษาสมดุลของระบบนิเวศน์ในทะเลและสภาพภูมิอากาศของโลก ที่กำลังถูกคุกคาม
ความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ภาวะโลกร้อนทำให้น้ำทะเลอุ่นขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการเจริญเติบโตและการกระจายตัวของแพลงก์ตอน อุณหภูมิที่สูงเกินไปอาจทำให้แพลงก์ตอนพืชบางชนิดตาย หรือถูกแทนที่ด้วยชนิดที่ผลิตออกซิเจนได้น้อยลง นอกจากนี้ ความเป็นกรดของน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นจากการละลายของคาร์บอนไดออกไซด์ ยังทำลายเปลือกของแพลงก์ตอนบางชนิด เช่น แพลงก์ตอนที่มีเปลือกแคลเซียมคาร์บอเนต สิ่งนี้ไม่เพียงลดจำนวนแพลงก์ตอน แต่ยังกระทบต่อห่วงโซ่อาหารทั้งหมด
มลพิษที่คุกคามชีวิตแพลงก์ตอน
ขยะพลาสติกขนาดเล็ก (microplastics) ที่ลอยอยู่ในทะเลเป็นภัยร้ายต่อแพลงก์ตอน แพลงก์ตอนสัตว์อาจกินพลาสติกเหล่านี้เข้าไปโดยเข้าใจว่าเป็นอาหาร ส่งผลให้เกิดการสะสมสารพิษในร่างกาย และเมื่อถูกกินโดยสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ขึ้น สารพิษนี้จะเคลื่อนผ่านห่วงโซ่อาหารไปถึงมนุษย์ นอกจากนี้ สารเคมีจากมลพิษ เช่น น้ำมันรั่วไหลหรือปุ๋ยจากเกษตรกรรมที่ไหลลงสู่ทะเล ยังทำให้เกิดการบานของแพลงก์ตอนพืชมากเกินไป (algal bloom) ซึ่งบางครั้งกลายเป็นพิษและทำลายระบบนิเวศ
ผลกระทบลูกโซ่ต่อสิ่งมีชีวิตทั้งโลก
นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า หากแพลงก์ตอนลดลงอย่างมาก ออกซิเจนในชั้นบรรยากาศจะลดลงตามไปด้วย ส่งผลต่อการหายใจของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ห่วงโซ่อาหารที่พังทลายจะนำไปสู่วิกฤตอาหารทั่วโลก โดยเฉพาะในชุมชนที่พึ่งพาการประมง นอกจากนี้ การที่แพลงก์ตอนกักเก็บคาร์บอนได้น้อยลง จะเร่งให้ภาวะโลกร้อนรุนแรงขึ้น เป็นวงจรอันตรายที่กระทบทั้งธรรมชาติและมนุษยชาติ
ผู้เชี่ยวชาญเน้นย้ำว่า การปกป้องแพลงก์ตอนยังไม่สายเกินไป การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การจัดการขยะพลาสติก และการอนุรักษ์มหาสมุทร เช่น การสร้างเขตคุ้มครองทางทะเล สามารถช่วยรักษาความสมดุลของแพลงก์ตอนได้ พวกเขาจึงเรียกร้องให้รัฐบาล องค์กร และประชาชนทั่วไปร่วมมือกัน เพราะการลงมือทำวันนี้คือการลงทุนเพื่ออนาคตของโลก
อย่างไรก็ตาม ในรายงานที่เผยแพร่ในระหว่างการประชุม UNGA79 แพลังก์ตอนได้รับการกล่าวถึงอย่างชัดเจนว่าเป็นหนึ่งในกลไกธรรมชาติที่มีศักยภาพในการช่วยลดปริมาณคาร์บอนในบรรยากาศ ซึ่งหากถูกอนุรักษ์และฟื้นฟูอย่างเหมาะสม จะสามารถมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนโลกสู่การบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutrality ภายในปี 2050
อ้างอิง :