ความตายที่เป็นมิตรสิ่งแวดล้อมบริการเปลี่ยนศพเป็นปุ๋ยหมักได้รับความนิยมมากขึ้นในอเมริกา

ทุกวันนี้แม้แต่การจัดการกับศพโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้มก็เป็นเรื่องนิยมทำกันมากขึ้น หนึ่งในวิธีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมคือการเปลี่ยนร่างคนตายให้เป็น “ปุ๋ยหมัก” (Composting) หรือ “การย่อยสลายสารอินทรีย์ตามธรรมชาติ” (NOR) โดยเปลี่ยนอินทรีย์วัตถุให้กลายเป็นสารปรับสภาพดินจนไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นซากมนุษย์มาก่อน

สำหรับศพมนุษย์ สามารถทำได้โดยการวางศพผสมเศษไม้ เพื่อให้จุลินทรีย์ที่ทนความร้อนสามารถย่อยสลายร่างกายได้ ลักษณะเดียวกับการสร้างปุ๋ยหมักนั่นเอง เพียงแต่ส่วนผสมหลักไม่ใช่แค่ใบไม้หรือเศษไม้ แต่มันคือเนื้อหนังและกระดูกของมนุษย์

ในสหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนศพเป็นปุ๋ยหมักเป็นสิ่งถูกกฎหมายในรัฐวอชิงตัน และโอเรกอน โดยโรงงานปุ๋ยหมักจากศพมนุษย์แห่งแรกตั้งอยู่ในเมืองเคนท์ รัฐวอชิงตัน ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการในเดือน ธ.ค. 2020 ในโครงการ Urban Death Project (ความตายในเมือง)

ล่าสุด รัฐโคโลราโดเป็นอีกรัฐหนึ่งอนุญาตการจัดการศพแบบนี้ในเดือน พ.ค.ปีที่แล้ว ผู้ว่าการรัฐจาเร็ด โพลิส ได้ลงนามในกฎหมายในร่างกฎหมายว่าด้วยการย่อยสลายสารอินทรีย์ตามธรรมชาติ (NOR) หลังจากที่ผู้สนับสนุนในรัฐได้เสนอให้จัดการศพด้วยวิธีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

สถานที่จัดการศพคือ The Natural Funeral โดยประมาณ 6 เดือนที่แล้ว ศพแรกในรัฐที่ใช้วิธี NOR ถูกนำไปวางไว้ในห้องกรองอากาศที่มีเศษไม้ หญ้า ฟาง และจุลินทรีย์จำนวนมาก ซึ่งกระบวนการย่อยศพและการแปลงสภาพใช้เวลา 6 เดือน เมื่อเรียบร้อยแล้ว ศพหนึ่งศพจะให้ดินผสมปุ๋ยหมักปริมาณเท่ากับกระบะของรถกระบะ

อย่างไรก็ตาม การทำปุ๋ยหมักจากศพคือการที่ร่างกายถูกแปลงโดยจุลินทรีย์เป็นดิน ซึ่งเป็นกระบวนการทางธรรมชาติ ดังนั้นระยะเวลาขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อุณหภูมิ ความชื้น และความสมดุลทางเคมี กระบวนการทั้งหมดอาจใช้เวลานานถึงหนึ่งปี แต่ The Natural Funeral ตั้งเป้าให้เสร็จภายในเวลาประมาณ 6 เดือน

ถามว่ามันมีกลิ่นของศพไหม? ผู้ให้บริการบอกว่า การทำปุ๋ยหมักจากร่างกายมนุษย์เกิดขึ้นในห้องที่ปิดสนิท อากาศถูกเป่าเข้าไปในห้องหมักปุ๋ยและผ่านตัวกรองถ่านกัมมันต์ก่อนที่จะระบายออกภายนอก วิธีการเติมอากาศนี้ไม่ก่อให้เกิดกลิ่นจากถังหมักในร่างกาย

เมื่อการทำย่อยสลายเสร็จสิ้น จะเหลือปุ๋ยหมักที่อุดมสมบูรณ์และเต็มไปด้วยสารอาหาารประมาณหนึ่งลูกบาศก์หลา ซึ่งพร้อมที่จะนำไปใช้กับพื้นดิน The Natural Funeral จะปันให้ครอบครัวได้นำปุ๋ยหมักนี้ไปเก็บไว้เป็นที่ระลึกตามต้องการ ส่วนที่เหลือจะใช้เพื่อการเกษตร แต่พวกเขาไม่แนะนำให้ใช้ในการปลูกพืชที่เป็นอาหารสำหรับมนุษย์

KUSA สื่อท้องถิ่นในรัฐโคโลราโดรายงานว่า บริการนี้มีสนนราคา 7,900 ดอลลาร์ (264,571 บาท) เพราะการย่อยสลายด้วยวิธีธรรมชาติแพงกว่าการเผาศพในทั่วไปในเมืองเดนเวอร์ เมืองเอกของรัฐ ซึ่งการเผาศพมีค่าใช้จ่ายเริ่มตั้งแต่ 3,000 ดอลลาร์ (100,470 บาท) ถึง 5,000 ดอลลาร์ (167,450 บาท)

การจัดการศพแบบเปลี่ยนเป็นปุ๋ยหมักคือกระแสนิยมใหม่ของสิ่งที่เรียกว่า Green Burial (การฝังศพสีเขียวหรือเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม) เช่นที่รัฐโคโลราโด มีสุสานที่ชื่อว่า Colorado Burial Preserve ซึ่งให้บริการฝังศพที่เป็นมิตรกับธรรมชาติที่สุด ท่ามกลางท้องทุ่งกว้างและดอกไม้ป่า

ข้อกำหนดของที่นี่คือภาชนะ โลงศพ หรือผ้าห่อศพต้องทำจากวัสดุธรรมชาติที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพเท่านั้น ไม่อนุญาตให้มีการสร้างหลุมฝังศพหรือภาชนะเก็บศพที่เป็นถาวรวัตถุ และหลุมศพบางแห่งอาจขุดด้วยมือเพื่อปกป้องพืชที่โตช้า เพราะนี่คือ “สวนแห่งสุสาน” (burial garden) ที่ศพกับธรรมชาติอยู่ร่วมกัน ไม่ใช่อนุสรณ์สถานของคนตาย

ข้อมูลจาก
• “What is Body Composting (Natural Reduction)?”. The Natural Funeral. Retrieved 23/03/2022.
• Tim Fitzsimons. (23/03/2022). “Colorado lays to rest first legally composted human remains”. NBC.
• “Natural burial”. Colorado Burial Preserve. Retrieved 23/03/2022.
ภาพจาก The Natural Funeral

Related posts

การเกษตรรักษ์โลก ‘แหนเป็ด’ ซูเปอร์ฟู้ดแห่งอนาคตโปรตีนสูง 45%

เป้าหมาย NDC ความมุ่งมั่นของไทย ก้าวย่างสู่ Net Zero และโลกยั่งยืน

ประโยชน์การเข้าร่วมเวที COP29 โอกาสเข้าถึงเงินช่วยเหลือของไทย