คลื่นความร้อนที่ทำลายสถิติทั่วทั้งภาคใต้และภาคกลางของสหรัฐในสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้วัวในรัฐแคนซัสตายร่วม 2,000 ตัว ตัวอย่างเช่น อุณหภูมิใน Haskell County รัฐแคนซัส แตะระดับสูงสุดที่ 79.9 องศาฟาเรนไฮต์ เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ที่ผ่านมา และจากนั้นก็ไต่ขึ้นสู่ระดับ 101.1 องศาฟาเรนไฮต์ในวันที่ 11 มิ.ย. ซึ่งมีแนวโน้มสูงถึง 104 องศาฟาเรนไฮต์หรือ 40 องศาเซลเซียส ถือเป็นปรากฎการณ์ผิดปกติอย่างมากในรอบ 10 – 20 ปี
ตัวเลขการเสียชีวิตที่มีรายงานนั้นยังไม่สามารถสรุปจำนวนได้อย่างชัดเจนว่า มีวัวตายจากคลื่นความร้อนจำนวนเท่าใดกันแน่ เพราะข้อมูลที่ได้อ้างอิงมาจากฟาร์มที่ขอความช่วยเหลือจากรัฐในการกำจัดซากเท่านั้น ซึ่งหมายความว่ายอดวัวที่ตายอย่างเป็นทางการอาจจะมากกว่านั้นซึ่งจะส่งกระทบต่อเศรษฐกิจมหาศาลเลยทีเดียว
จะเห็นได้ว่า วิกฤตสภาพภูมิอากาศทำให้คลื่นความร้อนในสหรัฐเกิดขึ้นบ่อยครั้งและรุนแรงขึ้น ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทวีปอเมริกาทำสถิติสูงสุดเป็นสองเท่าของระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ “เป็นความท้าทายมากขึ้นสำหรับเกษตรกรผู้เลี้ยงปศุสัตว์ในการจัดการกับภาวะโลกร้อน” ฟิลิป ธอร์นตัน นักวิจัยด้านสภาพอากาศ กล่าวกับเดอะการ์เดียน
แคนซัสเป็นรัฐปศุสัตว์ที่ใหญ่เป็นอันดับสามของสหรัฐ รองจากเท็กซัสและเนบราสก้า โดยมีการเลี้ยงวัวมากกว่า 2.4 ล้านตัว และมีวัวมากกว่าคนถึง 2 เท่า เนื้อวัวที่นี่ถือเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกอันดับต้น ๆ แคนซัส
ในขณะที่ชาวอเมริกันมากกว่า 100 ล้านคนได้รับคำแนะนำให้อยู่ข้างในเพื่อต่อสู้กับความร้อน อย่างไรก็ตามจากรายงานของสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมริกา (EPA) ระบุว่าคลื่นความร้อนในสหรัฐได้ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงสี่ทศวรรษนับตั้งแต่ทศวรรษ 1960
อ้างอิง:
Olivia Rosane (Jun 18, 2022) “At Least 2,000 Cattle Die in Kansas Due to Early Heat Wave” .
EcowatchTom Polansek(Jun 16, 2022) “Heat, humidity kill at least 2,000 Kansas cattle, state says” .
ReutersSamira Asma-Sadeque (Jun 16, 2022) “Thousands of cattle dead due to heatwave in Kansas” .
The Guardain Rebekah Riess (Jun 16, 2022) “At least 2,000 cattle deaths reported due to heat, humidity in southwest Kansas” . CNN