โลกกำลังสำลักพลาสติก ใครต้องรับผิดชอบลด ‘ขยะที่อันตรายที่สุด’ นี้?

เครดิตภาพ: European Parliament

ขยะพลาสติก 5 ชนิดที่เราใช้อยู่ในชีวิตประจำวันเป็นขยะที่อันตรายที่สุด และเป็นสาเหตุหลักที่สร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง

1. ขวดพลาสติก: ขวดพลาสติกเป็นหนึ่งในสิ่งของที่พบมากที่สุดในการทำความสะอาดชายหาดและในระบบการจัดการขยะ แม้ว่าขวดพลาสติกจะสามารถรีไซเคิลได้ แต่ส่วนใหญ่จะจบลงในหลุมฝังกลบหรือมหาสมุทร ทำให้เกิดมลพิษและเป็นอันตรายต่อสัตว์ทะเล ขวดพลาสติกเป็นหนึ่งในจำนวนขยะที่ร่วมก่อปัญหาขยะพลาสติกในระดับโลก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ระบบการรีไซเคิลไม่เพียงพอ

2. ถุงพลาสติก: ถุงพลาสติกเป็นหนึ่งในสิ่งของที่มีการใช้งานบ่อยและเป็นปัญหามากที่สุด เพราะมีน้ำหนักเบาและถูกพัดไปตามลมจนมักจะจบลงในมหาสมุทร ซึ่งทำลายชีวิตสัตว์ทะเลด้วยการอุดตันทางเดินหายใจและปนเปื้อนถิ่นที่อยู่อาศัย ถึงแม้ว่าหลายประเทศจะห้ามการใช้ถุงพลาสติกแล้ว แต่การใช้อย่างแพร่หลายก็ยังคงเป็นปัญหา

3. ช้อนส้อมและหลอดพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง: สิ่งของเหล่านี้ เช่น ช้อน ส้อม ชาม และหลอดพลาสติก ถูกออกแบบมาเพื่อใช้เพียงครั้งเดียวทิ้ง ซึ่งไม่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติและทำให้เกิดปัญหาขยะพลาสติกที่เพิ่มขึ้น สัตว์ทะเลมักเข้าใจผิดคิดว่าเป็นอาหาร ซึ่งทำลายระบบย่อยอาหารของพวกมัน

4. บรรจุภัณฑ์พลาสติก (โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์อาหาร): บรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญของขยะพลาสติก โดยผลิตภัณฑ์หลายชนิดถูกห่อหุ้มด้วยพลาสติกซึ่งไม่สามารถรีไซเคิลได้เสมอไปและมักจะจบลงเป็นขยะ สิ่งนี้สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตั้งแต่กระบวนการผลิตจนถึงการกำจัด

5. ทิชชู่เปียก: ใช้ทำความสะอาดและสุขอนามัยส่วนบุคคล ทิชชู่เปียกเป็นอีกหนึ่งแหล่งของมลพิษพลาสติก ทิชชู่เปียกหลายชนิดประกอบด้วยเส้นใยสังเคราะห์ที่ใช้เวลาหลายปีในการย่อยสลาย เมื่อถูกทิ้งลงท่อระบายน้ำจะไปอุดตันระบบระบายน้ำและเป็นส่วนหนึ่งของการก่อตัวของก้อนขยะใหญ่ที่เรียกว่า “fatbergs” ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเมื่อขยะที่อันตรายที่สุดนี้ไปลงเอยในมหาสมุทร

ขยะทั้ง 5 รายการนี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของปัญหาขยะพลาสติกทั่วโลก แต่เป็นสิ่งของในชีวิตประจำวันที่เราสามารถลดหรือเปลี่ยนแปลงได้ การแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกซึ่งเป็นขยะที่อันตรายที่สุดนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภคที่ลดการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติก อุตสาหกรรมที่พัฒนาแนวทางใหม่ๆ ที่ยั่งยืน หรือรัฐบาลที่ดำเนินการนโยบายการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ

ด้วยพลาสติกเป็นหนึ่งในขยะที่อันตรายที่สุดในโลก สัปดาห์นี้ระหว่าง 25 พ.ย. – 1 ธ.ค.นี้ ผู้นำทั่วโลกจึงได้ประชุมกันที่เมืองปูซาน เกาหลีใต้ เพื่อหารือเกี่ยวกับสนธิสัญญาพลาสติกระดับโลก (Global Plastic Treaty) เพื่อหาทางลดผลกระทบของมัน

แม้การประชุมระดับสูงนี้อาจดูเหมือนห่างไกลจากชีวิตประจำวัน แต่ผลิตภัณฑ์ที่เราใช้ทุกวันกลับเป็นประเด็นหลักในการเจรจาดังกล่าว เนื่องจากพลาสติกบางชนิดอันตรายกว่าชนิดอื่นและมีผลกระทบที่ไม่เหมือนกันในแต่ละพื้นที่ของโลก มาดู 5 ตัวการที่เป็นขยะที่อันตรายที่สุด และเป็นต้นเหตุใหญ่ของปัญหานี้

1> ซองพลาสติก, อินโดนีเซีย
ซองพลาสติกซึ่งเป็นขยะที่อันตรายที่สุดเริ่มได้รับความนิยมทั่วเอเชียในช่วงทศวรรษ 1980 โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากบริษัท Unilever ซึ่งใช้บรรจุสินค้าอาหารและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยในปริมาณที่เล็กลงและราคาถูกลง อย่างไรก็ตาม ในอินโดนีเซียซองพลาสติกได้เข้ามาแทนที่ระบบการซื้อแบบเติมซึ่งก็มีจำนวนมากอยู่ก่อนแล้ว

ผลที่ตามมาคือ ปัจจุบันในอินโดนีเซียมีการจำหน่ายซองพลาสติกสำหรับผงซักฟอกเพียงอย่างเดียวมากถึง 5.5 ล้านซองต่อวัน ตามข้อมูลขององค์กรไม่แสวงผลกำไร Plastic Diet Movement ระบุว่า ประชากรในประเทศแต่ละคนผลิตขยะจากซองพลาสติกหรือผลิตขยะที่อันตรายที่สุดเฉลี่ย 4 กิโลกรัมต่อปี

ปัญหาคือ โครงสร้างของซองพลาสติกทำให้ไม่สามารถรีไซเคิลได้ ในขณะที่ระบบจัดการขยะมีภาระหนักเกินไปทำให้ซองพลาสติกเหล่านี้รั่วไหลเข้าสู่สิ่งแวดล้อม ขยะที่อันตรายที่สุดนี้จึงก่อให้เกิดปัญหา เช่น การอุดตันของท่อระบายน้ำ และน้ำท่วม หากถูกกำจัดด้วยการเผาก็ปล่อยมลพิษในอากาศ

ทางด้าน Unilever ระบุว่า การจัดการกับขยะจากซองพลาสติกเป็นหนึ่งในลำดับความสำคัญของบริษัท โดยขณะนี้ได้ติดตั้งสถานีเติมสินค้ามากกว่า 1,000 แห่ง ทั่วอินโดนีเซีย ซึ่งช่วยลดการใช้พลาสติกได้ประมาณ 6 ตัน

2> เสื้อผ้าโพลีเอสเตอร์, กานาและเคนยา
เราอาจไม่ค่อยนึกถึงเสื้อผ้าที่ถูกทิ้งว่าเป็นมลพิษพลาสติก แต่ในความเป็นจริง 60% ถึง 70% ของสิ่งทอผลิตจากเส้นใยสังเคราะห์ เช่น โพลีเอสเตอร์ ซึ่งกลายเป็นปัญหาเมื่อเสื้อผ้าเหล่านี้ลงเอยในหลุมฝังกลบที่ไม่ได้รับการจัดการอย่างในประเทศกานา และเคนยา

ทั้งสองประเทศรับเสื้อผ้ามือสองและเสื้อผ้าสต็อกเหลือขายที่ส่งมาจากสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร อย่างไรก็ตาม การสืบสวนของ Changing Markets Foundation พบว่าในเคนยามีเสื้อผ้าเหล่านี้มากถึงครึ่งหนึ่งถูกทิ้ง เนื่องจากส่วนใหญ่อยู่ในสภาพที่เสียหายเกินกว่าจะสวมใส่ได้

เมื่อเสื้อผ้าถูกทิ้งในหลุมฝังกลบแบบเปิด มันจะค่อยๆ สลายตัวและก่อให้เกิดมลพิษต่อดินและแม่น้ำโดยรอบ อูร์ชกา ทรังก์ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายรณรงค์ของ Changing Markets Foundation กล่าวว่า “การค้าขายเสื้อผ้ามือสองจากซีกโลกเหนือไปยังซีกโลกใต้ในหลายกรณีคือการส่งออกขยะพลาสติก”

ทั่วโลกมีการรีไซเคิลเส้นใยสิ่งทอน้อยกว่า 1% โดยเฉพาะจาก 50 แบรนด์ที่เธอระบุในรายงานว่า หนึ่งในนั้นคือ Shein ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่น แต่ตามข้อมูลของ Changing Markets Foundation พบว่า Shein มีอัตราส่วนของเส้นใยสังเคราะห์ต่อเส้นใยธรรมชาติสูงที่สุดในบรรดาแบรนด์ฟาสต์แฟชั่น 50 แบรนด์ โดยวัสดุ 80% ของผลิตภัณฑ์มาจากสิ่งทอที่ผลิตจากเชื้อเพลิงฟอสซิล

ทางด้าน Shein ระบุว่า บริษัทมุ่งมั่นที่จะพัฒนาการดำเนินงานด้านความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง และเสริมว่ากำลังดำเนินการจัดหาวัสดุที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง ใช้วัสดุเหลือใช้จากแบรนด์อื่นๆ และเปลี่ยนไปใช้โพลีเอสเตอร์รีไซเคิล 31% ในผลิตภัณฑ์แบรนด์ Shein ของตนเอง

3> ขวดเครื่องดื่ม, เกาะในแถบแคริบเบียน
ในกิจกรรม Ocean Conservancy’s International Coastal Cleanup (ICC) ขวดเครื่องดื่มพลาสติกมักติดอันดับหนึ่งในห้าของขยะที่เก็บได้มากที่สุดทุกปี โดยเฉพาะในแถบแคริบเบียน ซึ่งคาดว่ามีขยะพลาสติกประมาณ 2,000 ชิ้นต่อกิโลเมตร และหนึ่งในห้าของขยะเหล่านั้นเป็นขวดพลาสติก

ข้อมูลจาก ICC แสดงให้เห็นว่าในปี 2022 และ 2023 เพียงสองปี อาสาสมัครในตรินิแดดและโตเบโก เก็บขวดพลาสติกได้ 86,410 ขวด ซึ่งคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของขยะพลาสติกทั้งหมดที่เก็บได้ในพื้นที่นี้

รูปแบบการบริโภคที่เปลี่ยนไป รวมถึงการเปลี่ยนจากขวดแก้วที่นำกลับมาเติมได้มาเป็นบรรจุภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียวในช่วงปี 1980 อาจเป็นคำอธิบายถึงปริมาณขยะที่มากในแถบนี้ นอกจากนี้ ยังมีพลาสติกจำนวนมากที่ถูกซัดเข้าฝั่งจากแหล่งอื่น แต่การผลิตที่เพิ่มขึ้นจากบริษัทต่างๆ เช่น Coca-Cola ก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน

Coca-Cola ผลิตขวดเครื่องดื่มพลาสติกมากกว่า 1 แสนล้านขวดต่อปี และจากการศึกษาที่อ้างอิงข้อมูลจากการตรวจสอบแบรนด์ 1,576 ครั้งใน 84 ประเทศ พบว่า 11% ของขยะพลาสติกที่มีตราสินค้าทั้งหมด มาจาก Coca-Cola ซึ่งมากกว่าบริษัทอื่นๆ ทุกแห่ง

Coca-Cola ตอบสนองในหลายประเทศแถบแคริบเบียนโดยพวกเขากำลังเพิ่มอัตราการรีไซเคิลในโครงการที่ดำเนินการอยู่

4> Tetra Pak, เวียดนาม
ในชีวิตที่เต็มไปด้วยพลาสติก การล้างกล่องกระดาษที่พับเก็บไว้ซึ่งใช้บรรจุนม ซอสพาสต้า และซุป แล้วนำไปใส่ถังรีไซเคิล อาจทำให้รู้สึกดีขึ้นได้ ส่วนใหญ่บรรจุภัณฑ์เหล่านี้ผลิตโดยบริษัทบรรจุภัณฑ์อาหารข้ามชาติ Tetra Pak แต่กระดาษที่ดูภายนอกเรียบง่ายนั้นซ่อนความจริงที่ซับซ้อนกว่าไว้: ชั้นของกระดาษมีโลหะ และพลาสติกซ้อนกันอยู่ภายใน

ผลิตภัณฑ์ที่ประกอบด้วยวัสดุหลายชนิดมักมีความท้าทายอย่างมากในการรีไซเคิล โดยอัตราการรีไซเคิลของ Tetra Pak ทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 25% เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม บริษัทได้อ้างว่าบรรจุภัณฑ์ของตนนั้น “รีไซเคิลได้ง่าย” ในปี 2018 The Guardian ได้ทำการสืบสวนในเวียดนาม ซึ่งพบว่าระบบรีไซเคิลไม่สามารถจัดการกับวัสดุที่ซับซ้อนเหล่านี้ได้ดีพอ ประกอบกับการจัดการขยะที่มีข้อจำกัด ทำให้กล่อง Tetra Pak ถูกทิ้งเกลื่อนชายหาดของประเทศหรือถูกเผาทำลาย

โฆษกของ Tetra Pak ตอบว่า บรรจุภัณฑ์ของบริษัทสามารถรีไซเคิลได้และกำลังถูกรีไซเคิลในพื้นที่ที่มีโครงสร้างพื้นฐานด้านการเก็บรวบรวม การคัดแยก และการรีไซเคิลที่มีขนาดใหญ่เพียงพอ

บริษัทยังกล่าวเสริมว่า ในเวียดนามพวกเขากำลังดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายการรีไซเคิลกล่องกระดาษ 15% ตามข้อกำหนดของรัฐบาล และตั้งแต่ปี 2018 บริษัทได้ลงทุนในโรงงานท้องถิ่นเพื่อเพิ่มศักยภาพในการรีไซเคิลของพวกเขา

5> ทิชชู่เปียกในสหราชอาณาจักร
ทุกปีสหราชอาณาจักรกำจัดผ้าเช็ดทำความสะอาดแบบเปียกหรือทิชชู่เปียกมากถึง 11,000 ล้านชิ้น ซึ่งแม้จะเป็นสัญลักษณ์ของการรักษาความสะอาดส่วนตัว แต่กลับมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างร้ายแรง ผ้าเช็ดเหล่านี้จำนวนมากผลิตจากเส้นใยสังเคราะห์ เช่น โพลีเอสเตอร์ ซึ่งใช้เวลาหลายปีในการย่อยสลาย

เมื่อถูกทิ้งลงชักโครกทิชชู่ประเภทนี้จะสะสมอยู่ในระบบท่อระบายน้ำ ก่อตัวเป็นก้อนขยะขนาดยักษ์ที่อุดตันท่อ ซึ่งมักเรียกว่า “ก้อนขยะไขมัน” (fatbergs) เช่น ก้อนขนาด 35 ตันที่ถูกกำจัดออกจากท่อในลอนดอนเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

ปีที่แล้ว องค์กรอนุรักษ์ทางทะเล Marine Conservation Society (MCS) ได้เก็บทิชชู่เปียกมากถึง 21,000 ชิ้น จากชายหาดทั่วสหราชอาณาจักรและหมู่เกาะแชนเนล

ในปี 2024 รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้ผ่านกฎหมายที่ห้ามการผลิตผ้าเช็ดทำความสะอาดแบบเปียกที่มีส่วนผสมของพลาสติก โดยให้ผู้ผลิตมีเวลา 18 เดือนในการปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ของตน “เราจำเป็นต้องเห็นการบังคับใช้กฎหมายนี้โดยเร็วที่สุดเพื่อลดปริมาณพลาสติกที่อุดตันท่อระบายน้ำของเรา” แคธารีน แกมเมลล์ ผู้จัดการฝ่ายนโยบายและการสนับสนุนของ Marine Conservation Society (MCS) ระบุ

อย่างไรก็ตาม หลายบริษัทผู้ผลิตได้เปลี่ยนมาใช้วัสดุที่ปราศจากพลาสติกตามข้อกำหนดในกฎหมาย แต่สหราชอาณาจักรจะยังคงอนุญาตให้ผลิตผ้าเช็ดทำความสะอาดแบบพลาสติกในประเทศ ก่อนที่จะส่งออกไปยังประเทศที่มีกฎหมายควบคุมที่หลวมกว่า ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีว่าทำไมจึงต้องการการควบคุมระดับโลก Anja Brandon ผู้อำนวยการด้านนโยบายพลาสติกของ Ocean Conservancy กล่าว “นั่นคือจุดที่สนธิสัญญาพลาสติกระดับโลกมีความสำคัญในการนำกฎเกณฑ์ที่สอดคล้องกันมาใช้ เพื่อให้ทุกประเทศมีกฎเดียวกันในการจำกัดหรือห้ามผลิตภัณฑ์เหล่านั้น”

จะว่าไปแล้วปัญหาขยะพลาสติกแพร่ระบาดไปทั่วโลก โดยเฉพาะเอเชีย เนื่องจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจที่สามารถนำเข้าสินค้ากันง่ายขึ้น ในปี 2019 เอเชียผลิตพลาสติก 54% ของโลก นำโดย จีนและญี่ปุ่น

ขยะพลาสติกประมาณครึ่งหนึ่งที่พบในมหาสมุทรมาจากแค่ 5 ประเทศ ได้แก่ จีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม ซึ่งในที่สุดพลาสติกเหล่านี้จะสลายตัวเป็นอนุภาคขนาดเล็กที่ไม่สามารถย่อยสลายได้หรือไมโครพลาสติก และเป็นภัยคุกคามต่อสัตว์ป่าและสุขภาพของมนุษย์

อ้างอิง:
• Nov 29, 2024 . We need to talk about plastic: five everyday items choking the planet By Emma Bryce, The Guardian
• Our planet is choking on plastic, UNEP

Related posts

เร่งทำข้อมูลภัยโลกเดือด ลุยคาร์บอนเครดิต ไม่ฟอกเขียวอุตสาหกรรม?

ช่องโหว่รับมือ ‘ภัยพิบัติ’ ไทย รัฐยังไม่เชื่อ Climate Change อย่างแท้จริง

‘วันสิ่งแวดล้อมไทย’ ถอดบทเรียน 3 ปัญหาสิ่งแวดล้อม