50 ปี วันคุ้มครองโลกGC มุ่งขับเคลื่อนองค์กรใส่ใจสิ่งแวดล้อม

การดูแลสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องตระหนักและให้ความสำคัญในการช่วยกันแก้ไขปัญหามลภาวะเป็นพิษและลดปริมาณขยะที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะปัญหาขยะพลาสติกที่หลายคนทราบดีว่า ปริมาณเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีสาเหตุมาจากวิธีการจัดการคัดแยกพลาสติกหลังการใช้ที่ไม่ถูกต้อง จึงทำให้ขยะพลาสติกกลายเป็นปัญหาระดับโลก โดยในวันนี้ของทุกๆ ปี ถือเป็นวันสำคัญทางด้านสิ่งแวดล้อม หรือที่รู้กันว่า  “วันคุ้มครองโลก” หรือ Earth Day  ซึ่งประกาศโดยโครงการสิ่งแวดล้อมสหประชาชาติ (United Nations Environment Program หรือ “UNEP”) เมื่อวันที่ 22 เม.ย. 2513 ที่ถือกำเนิดมาเป็นเวลา 50 ปีแล้ว

เกย์ลอร์ด เนลสัน (Gaylord Nelson) สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐอเมริกาเป็นผู้เสนอ เรื่องสิ่งแวดล้อมขึ้นเป็นวาระแห่งชาติ ไปยังประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี โดย เคนเนดีเห็นด้วยและได้ออกเดินสายทั่วประเทศ เป็นเวลา 5 วัน ในช่วงเดือน ก.ย. 2506 การเดินสายครั้งนั้นนับเป็นจุดเริ่มต้นของการริเริ่มวันคุ้มครองโลก

จนในปี 2512 สมาชิกวุฒิสภาเนลสันได้ผลักดันให้มีการจัดการชุมนุมประชาชนระดับรากหญ้าทั่วประเทศขึ้น เพื่อให้คนได้แสดงความคิดเห็นที่เกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดกระแสความห่วงใยในวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่เป็นอยู่ของสังคมอเมริกันในขณะนั้น นำไปสู่ความสำเร็จของการก่อตั้งวันคุ้มครองโลกขึ้น ซึ่งในประเทศไทย หลายองค์กรได้มีการจัดกิจกรรมวันคุ้มครองโลกเป็นประจำทุกปีจนถึงปัจจุบัน

ในขณะที่ประเทศไทยมีการตื่นตัว หลายองค์กรได้ออกมาร่วมกันรณรงค์ และช่วยกันแก้ไขปัญหาขยะพลาสติก และการดูแลด้านสิ่งแวดล้อม โดยการนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการบริหารจัดการ ซึ่งหนึ่งในองค์กรตัวอย่างที่แสดงความมุ่งมั่นและพยายามคิดค้นพัฒนานวัตกรรมอย่างไม่หยุดนิ่ง เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกที่กำลังจะล้นโลก คือ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ผู้ผลิตเม็ดพลาสติกและเคมีภัณฑ์ชั้นนำเพื่อสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตรายใหญ่ของประเทศไทย

GC ถือเป็นเรือธงที่สำคัญของกลุ่ม ปตท. ในการยกระดับคุณภาพชีวิต ด้วยผลิตภัณฑ์นานาชนิดจากเคมีภัณฑ์ โดยเฉพาะเม็ดพลาสติก ที่นำไปผ่านประบวนการให้ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพและมีประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันของเราต่างๆ มากมาย

ในด้านการบริหารความยั่งยืน (Sustainability) GC มุ่งมั่นในการผลิตเคมีภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีเป้าหมายชัดเจนในด้านการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas Emission) จากกระบวนการผลิตของบริษัทฯ โดยตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 20% ใน 10 ปีข้างหน้า (ปี 2573) เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลดปัญหาภาวะโลกร้อน สอดคล้องกับเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย และยังตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 52% ภายในปี 2593 เพื่อสนับสนุนเป้าหมายของโลกในการควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียส

ผลิตภัณฑ์ที่ GC ดำเนินการผลิต ได้รับการรับรองเครื่องหมาย Carbon Footprint และ Carbon Footprint Reduction จากองค์การก๊าซเรือนกระจก (TGO) อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2554 จนถึงปัจจุบัน และมีการวางเป้าหมายที่จะมีผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษและผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม (Performance & Green Chemicals) เพิ่มเป็น 30% ภายในปี 2573

รวมทั้งยกเลิกการผลิตเม็ดพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้งใน 5 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ GC ยังได้รับการจัดอันดับเป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices) หรือ DJSI ปี 2019 โดยได้รับคะแนนสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลกด้านการพัฒนา      อย่างยั่งยืน ด้วย Percentile 100 และอยู่ในระดับ Top 10 ของ DJSI World และ Emerging Markets ในกลุ่มเคมีภัณฑ์ (Chemical Sector) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7

ยิ่งไปกว่านั้นองค์กรยังยึดหลัก Circular Economy เป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจและส่งเสริมให้นำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันตามแนวคิด GC Circular Living  โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อความยั่งยืนสูงสุด ต่อยอดบูรณาการให้เกิดความยั่งยืน ในทุกธุรกิจและกระบวนการของบริษัทฯ โดยได้ร่วมกับองค์กรพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ผสานการทำงานร่วมกัน

ตัวอย่างเช่น โครงการคุ้งบางกะเจ้าโมเดล โครงการเชียงรายโมเดล โครงการความร่วมมือกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โครงการ Waste this Way ในงานฟุตบอลประเพณี จุฬา-ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ 74 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป และโครงการทดสอบและพัฒนาต่อยอดเครื่องบำบัดอากาศที่มีมลพิษและฝุ่นขนาดเล็ก PM2.5 เป็นต้น

GC ยังมีแนวทางที่ยั่งยืนในการใช้พลาสติกสำหรับทุกคน (Solutions for Everyone) รวมทั้งสร้างระบบเพื่อแก้ไขปัญหาแบบองค์รวม ตลอดห่วงโซ่อุปทาน ครอบคลุม 4 ด้าน ได้แก่ 1) พลาสติกชีวภาพ (Bio-based) มุ่งเน้นการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพที่สลายตัวได้ด้วยการฝังกลบ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ยากต่อการคัดแยก หรือพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีข้อจำกัดเรื่องการแยกขยะ

2) พลาสติกทั่วไป (Fossil-based)  มุ่งเน้นการใช้ผลิตภัณฑ์ด้วยความรับผิดชอบ นำขยะพลาสติกกลับมารีไซเคิล (Recycle) หรือ อัพไซเคิล (Upcycle) เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่สามารถคัดแยกได้ หรือพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีความตระหนักในการคัดแยกขยะอย่างถูกวิธี 3) ระบบนิเวศทางธุรกิจ (Ecosystem) เดินหน้าสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนสร้างความตระหนักรู้ และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้พลาสติก เพื่อก่อให้เกิดระบบนิเวศที่เอื้อต่อหลักการ Circular Economy ซึ่งเริ่มจากจุดเล็กๆ และเกิดเป็นการขยายผลแบบทวีคูณ และสุดท้ายการเป็นส่วนหนึ่ง (Inclusiveness) GC จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยพร้อมให้ความช่วยเหลือลูกค้า SMEs ให้ปรับตัวกับสถานการณ์และการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค เราจะขับเคลื่อน พัฒนาและเติบโตไปพร้อมกับลูกค้าของเรา

ขณะเดียวกัน GC ยังได้ช่วยร้านอาหารลดภาระค่าใช้จ่ายในช่วงปรับตัวเปิดขายเดลิเวอรี่สู้ภาวะวิกฤตในช่วงโควิด-19 โดยการมอบบรรจุภัณฑ์รักษ์โลกสำหรับเดลิเวอรี่ ไม่ว่าจะเป็นถ้วยกระดาษเคลือบพลาสติกชีวภาพ ถุงหูหิ้วพลาสติกชีวภาพ และชุดช้อน-ส้อมพลาสติกชีวภาพ ที่ได้รับการรับรองฉลาก GC Compostable ซึ่งหมายถึง บรรจุภัณฑ์ผลิตจากพลาสติกชีวภาพที่ทำมาจากพืช (Biobased) สลายตัวได้ทางชีวภาพ (Compostable) ภายใต้สภาวะที่เหมาะสม กลายเป็นสารปรับปรุงดินกลับคืนสู่ธรรมชาติ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงถือเป็นบรรจุภัณฑ์พลาสติกชีวภาพที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ และยังช่วยลดปัญหาขยะได้อีกด้วย     

นี่เป็นเพียง 1 ตัวอย่าง จาก GC ที่ได้ลงมือคิด และปฏิบัติทันทีในช่วงภาวะวิกฤตที่รอไม่ได้ ซึ่งความสำเร็จนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีพันธมิตรที่แข็งแกร่ง เข้าใจ พร้อมที่จะสนับสนุนซึ่งกันและกัน

สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า “พลังร่วม” นั้นสำคัญเพียงไหน ทั้งนี้ทั้งนั้น ในความจริง เราอาจไม่จำเป็นต้องรอให้องค์กรใหญ่ๆ ขยับ โลกก็น่าอยู่มากขึ้นทุกวันได้ หากทุกคนปรับตัว คิด และช่วยกันเริ่มลงมือทำในวิถีของตนเมื่อไหร่ ประเทศไทยก็ก้าวเข้าสู่ความยั่งยืนที่แท้จริงได้สมตามความปรารถนาของผู้ก่อตั้ง “วันคุ้มครองโลก” ได้เท่านั้น

Related posts

มหาอำนาจโลกในมือ ‘ทรัมป์’ จุดจบการดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศ?

โลกจมกองพลาสติก ต้องเปลี่ยนวิธีผลิต ลดการบริโภค กำจัดอย่างยั่งยืน

อุณหภูมิทะลุ 3.1°C แผนลดก๊าซเรือนกระจกในปี 2030 เป็นเรื่องเพ้อฝัน