รัฐสภายุโรปลงคะแนนฉลุย กดดันรัฐบาล 27 ชาติอียู ตั้งแต่ปี 2035 หยุดขายรถยนต์ใหม่ ที่ใช้เชื้อเพลิงเบนซิน-ดีเซล

รัฐสภายุโรปลงมติยุติการขายรถยนต์เบนซินและดีเซลใหม่ตั้งแต่ปี 2035 ซึ่งถือเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของฝ่ายนิติบัญญัติในการร่วมผลกดันการแก้วิกฤตสภาพภูมิอากาศโลก หลังจากมีความพยายามมาอย่างต่อเนื่อง

การลงคะแนนเสียงดังกล่าวถือเป็นแรงกดดันหลักให้สหภาพยุโรป (อียู) ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ 55% ภายในปี 2030 จากระดับปี 1990 ซึ่งได้ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอุตสาหกรรมพลังงาน และการขนส่งให้เร็วขึ้น

อย่างไรก็ตาม กฎหมายยังไม่สิ้นสุด เพราะจะต้องรอการเจรจาที่จะเกิดขึ้นระหว่างรัฐมนตรีจากรัฐบาล 27 ประเทศของสหภาพยุโรปในการออกกฎหมายขั้นสุดท้าย แต่การโหวตของฝ่ายนิติบัญญัติครั้งนี้จะเพิ่มแรงกดดันต่อการตัดสินใจของรัฐบาลในการยุติการใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในที่มีประชากร 447 ล้านคน

เป้าหมายคือเพื่อเร่งให้ยุโรปเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า และสนับสนุนให้ผู้ผลิตรถยนต์ลงทุนอย่างหนักในด้านการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยได้รับความช่วยเหลือจากกฎหมายของสหภาพยุโรปฉบับอื่นที่จะกำหนดให้ประเทศต่าง ๆ ติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์หลายล้านเครื่อง

ทั้งนี้ เมื่อปี 2021 รถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดที่จำหน่ายในสหภาพยุโรปคิดเป็น 18% ของรถยนต์นั่งใหม่

Pascal Canfin ประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมของรัฐสภายุโรป กล่าวว่า การยุติจำหน่ายรถยนต์เชื้อเพลิงฟอสซิลถือการตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์ที่ก้าวไปสู่ยุคใหม่ของความเป็นกลางของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่

อ้างอิง:

Jennifer Rankin  (Jun 8,2022) “MEPs vote to end sale of petrol and diesel car by 2035 in EU” . The Guardian

Kate Abnett (Jun 8,2022) “EU lawmakers back ban on new fossil-fuel cars from 2035” . Reuters

Related posts

มหาอำนาจโลกในมือ ‘ทรัมป์’ จุดจบการดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศ?

โลกจมกองพลาสติก ต้องเปลี่ยนวิธีผลิต ลดการบริโภค กำจัดอย่างยั่งยืน

อุณหภูมิทะลุ 3.1°C แผนลดก๊าซเรือนกระจกในปี 2030 เป็นเรื่องเพ้อฝัน