พลิกหน้า 5 ประวัติศาสตร์ ‘แผ่นดินไหว’ ที่โลกต้องจดจำ

เมื่อ “แผ่นดินไหว” ไม่ใช่เรื่องไกลตัว สำหรับประเทศไทยอีกต่อไป พลิกหน้า 5 ประวัติศาสตร์แห่งแผ่นดินไหว ที่ทำให้โลกต้องจดจำ และไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือ

“แผ่นดินไหว” รุนแรงขนาด 7.1 ในเขตปกครองตนเองทิเบตของจีน เมื่อวันอังคารที่ 7 ม.ค. ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนอย่างน้อย 126 ศพบาดเจ็บอีกจำนวนมาก ท่ามกลางสภาพอากาศหนาวเหน็บในพื้นที่ประสบภัย…แผ่นดินไหวที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์มีหลายครั้งที่น่าสนใจและสร้างความเสียหายมหาศาล นี่คือบางส่วนของแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงสูง Igreenstory รวบรวมมา เพื่อเป็นการย้ำเตือนว่า ความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และเราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันอย่างปลอดภัย

  • แผ่นดินไหวที่มณฑลส่านซี, ประเทศจีน (ค.ศ. 1556)

เรื่องราวของแผ่นดินไหวครั้งนี้เป็นบทเรียนที่เจ็บปวดที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ด้วยแรงสั่นสะเทือนขนาด 8 ริกเตอร์ ครอบคลุมพื้นที่กว้างถึง 520 ไมล์ ผลที่ตามมาคือการคร่าชีวิตผู้คนไปถึง 830,000 คน มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ไม่เพียงแต่เป็นการนับจำนวนผู้เสียชีวิต แต่ยังเป็นการบันทึกความท้าทายทางการฟื้นฟูที่ตามมา

  • แผ่นดินไหวและสึนามิที่เกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย (ค.ศ. 2004)

แผ่นดินไหวขนาด 9.1 ริกเตอร์ ไม่เพียงทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน แต่ยังสร้างสึนามิที่เป็นคลื่นยักษ์พุ่งเข้าหาชายฝั่งของประเทศต่างๆ 14 ประเทศ ความสูญเสียครั้งนี้นับได้ถึง 227,899 ชีวิต นับเป็นแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทยที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก

  • แผ่นดินไหวที่ปอร์โตแปงซ์ เฮติ (ค.ศ. 2010)

เมืองหลวงของเฮติต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ แผ่นดินไหวขนาด 7.0 ริกเตอร์ ทำให้อาคารหลายพันหลังพังทลายลงมา สร้างความเสียหายมหาศาล ทั้งทางด้านชีวิตและทรัพย์สิน ความสูญเสีย 316,000 ชีวิตที่ตามมา ไม่เพียงแต่เป็นตัวเลข แต่เป็นเรื่องราวของครอบครัวที่สูญเสียสมาชิก และเมืองที่ต้องเริ่มต้นใหม่จากศูนย์

  • แผ่นดินไหวที่มณฑลกานซู่ ประเทศจีน (ค.ศ. 1920)

แผ่นดินไหวขนาด 8.3 ริกเตอร์ ที่เกิดขึ้นในช่วงฤดูหนาวของมณฑลกานซู่ ซึ่งทำให้ผู้คนไม่เพียงแต่เสียชีวิตจากแผ่นดินไหวเท่านั้น แต่ยังเสียชีวิตจากสภาพอากาศหนาวเย็นด้วย รวมถึง 200,000 คน กลายเป็นบทเรียนเกี่ยวกับการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติในสภาพอากาศที่เลวร้าย

  • แผ่นดินไหวที่ดวิน อาร์เมเนีย (ค.ศ. 893)

แม้จะผ่านมาหลายศตวรรษ แผ่นดินไหวขนาด 6 ริกเตอร์ ที่เมืองดวินในอาร์เมเนีย มีผู้เสียชีวิต 150,000 คน ยังคงเป็นตัวอย่างของความไม่แน่นอนของธรรมชาติ เมื่อเมืองที่เคยรุ่งเรืองต้องพังทลายลง มีเพียง 100 หลังคาเรือนที่ยังคงอยู่

แผ่นดินไหวเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงและผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อชุมชนและสังคม การเตรียมพร้อมรับมือกับภัยธรรมชาติเช่นนี้ เป็นเรื่องสำคัญสำหรับการลดความเสียหายในอนาคต

แผ่นดินไหว เกิดจาก

  • การเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก (Tectonic Plates Movement)

แผ่นดินไหวส่วนใหญ่เกิดจากการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก ซึ่งเป็นส่วนของเปลือกโลกที่สามารถเคลื่อนที่ได้ แผ่นเหล่านี้สามารถชนกัน (Convergent boundaries), แยกออกจากกัน (Divergent boundaries), หรือเลื่อนผ่านกัน (Transform boundaries) การเคลื่อนไหวนี้สามารถสร้างแรงดันมหาศาลที่สะสมจนกระทั่งเกิดการปลดปล่อยพลังงานอย่างฉับพลัน เป็นต้นเหตุของแผ่นดินไหว

  • การกระทำของมนุษย์ (Human-Induced Earthquakes)

กิจกรรมของมนุษย์บางอย่างสามารถกระตุ้นให้เกิดแผ่นดินไหวได้ ตัวอย่างเช่น การสูบน้ำใต้ดิน เพราะการสูบน้ำเข้าไปในชั้นหินใต้ดินเพื่อการกำจัดน้ำเสีย หรือการฉีดน้ำเพื่อสกัดน้ำมันหรือแก๊ส สามารถเปลี่ยนแปลงแรงดันในชั้นหิน ส่งผลให้เกิดแผ่นดินไหว รวมทั้ง การขุดเจาะหรือการก่อสร้าง เพื่อการทำเหมือง หรือการก่อสร้างเขื่อน สามารถเปลี่ยนแปลงความเค้นในพื้นดิน ทำให้เกิดแผ่นดินไหวได้

  • แผ่นดินไหวจากภูเขาไฟ (Volcanic Earthquakes)

แผ่นดินไหวที่เกิดจากกิจกรรมภูเขาไฟ เช่น การเคลื่อนที่ของแมกมาใต้ดิน การระเบิดของภูเขาไฟ หรือการยุบตัวของหินภายในปล่องภูเขาไฟ สามารถกระตุ้นให้เกิดแผ่นดินไหวได้

  • แผ่นดินไหวจากการยุบตัวของชั้นหิน (Collapse Earthquakes)

การยุบตัวของหินใต้ดิน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีถ้ำหรือโพรงใต้ดินขนาดใหญ่ สามารถทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดเล็กถึงกลางได้

แผ่นดินไหว ภัยใกล้ตัว ประเทศไทย

ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โพสต์เฟซบุ๊ก เรื่อง แผ่นดินไหว “ภัยใกล้ตัว” ซึ่งพบว่า จังหวัดในประเทศไทย ที่อยู่ในบัญชีรายชื่อพื้นที่เสี่ยงต่อแผ่นดินไหว มีถึง 43 จังหวัด ที่กฎกระทรวงตามประกาศกระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2564 ได้กำหนดการรับน้ำหนัก ความต้านทาน ความคงทนของอาคาร และพื้นดินที่รองรับอาคารในการต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว โดยได้ระบุพื้นที่ที่มีความเป็นไปได้ว่าจะได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว 3 บริเวณ ดังนี้

(1) บริเวณที่ 1 หมายถึงบริเวณหรือพื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวัง เพราะมีความเป็นไปได้ว่าอาคารอาจได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว มี 14 จังหวัด ได้แก่ กระบี่ ชุมพร ตรัง นครพนม นครศรีธรรมราช บึงกาฬ ประจวบคีรีขันธ์ พิษณุโลก เพชรบุรี เลย สงขลา สตูล สุราษฎร์ธานี และหนองคาย

(2) บริเวณที่ 2 หมายถึงบริเวณหรือพื้นที่ที่มีความเป็นไปได้ว่าอาคารอาจได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวในระดับปานกลาง มี 17 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ กำแพงเพชร ชัยนาท นครปฐม นครสวรรค์ นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา พังงา ภูเก็ต ระนอง ราชบุรี สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สุพรรณบุรี และอุทัยธานี

(3) บริเวณที่ 3 หมายถึงบริเวณหรือพื้นที่ที่มีความเป็นไปได้ว่าอาคารอาจได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวในระดับสูง มี 12 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี เชียงราย เชียงใหม่ ตาก น่าน พะเยา แพร่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง ลำพูน สุโขทัย และอุตรดิตถ์

จะเห็นได้ว่า ประเทศไทยมีจังหวัดที่อาจได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวรวมทั้งหมด 43 จังหวัด หรือเกินครึ่งประเทศ เพิ่มขึ้นจากเดิมที่กฎกระทรวงฯ ระบุไว้ในปี 2550 จำนวน 22 จังหวัด และในปี 2540 จำนวน 10 จังหวัด แสดงให้เห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตระหนักว่าแผ่นดินไหวอาจส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในวงกว้างขึ้น ในส่วนของกรุงเทพฯ นั้น ถูกจัดให้เป็นพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา

ทั้งนี้ ดร.สามารถ ได้แนะนำถึงการลดความสูญเสียจากแผ่นดินไหวที่ดีที่สุดก็คือ การออกแบบอาคารให้สามารถต้านทานแผ่นดินไหวในระดับหนึ่งได้ ถ้าแผ่นดินไหวมีระดับความรุนแรงไม่เกินขีดความสามารถของอาคารที่ได้ออกแบบให้ต้านทานแผ่นดินไหว อาคารก็จะไม่พังทลายลงมา ทั้งนี้ อาคารที่จะต้องออกแบบให้สามารถต้านแผ่นดินไหวได้ ถูกกำหนดไว้ในกฎกระทรวงดังกล่าวข้างต้น

รวมทั้ง ให้ความรู้แก่ประชาชนถึงวิธีปฏิบัติตนที่ถูกต้องในขณะเกิดแผ่นดินไหว โดยเฉพาะประชาชนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดที่เป็นพื้นที่เสี่ยงต่อแผ่นดินไหว

ในญี่ปุ่น โรงเรียนทุกแห่งต้องจัดการฝึกซ้อมรับมือแผ่นดินไหวปีละสองครั้ง และเด็กๆ จะได้รับการสอนวิธีปฏิบัติตัวเมื่อเกิดแผ่นดินไหว ไม่ว่าจะอยู่ที่บ้าน กลางแจ้ง หรือในยานพาหนะ ขณะที่ไต้หวัน มีการจัดการฝึกซ้อมรับมือแผ่นดินไหวทั่วประเทศเพื่อทดสอบความสามารถของทีมกู้ภัย แต่ในหลายประเทศ ไม่ได้มีการฝึกซ้อมรับมือกับเหตุแผ่นดินไหวเช่นนี้ โดยเฉพาะประเทศที่แทบไม่เคยเผชิญกับภัยพิบัติแผ่นดินไหว

บทสรุป แผ่นดินไหวไม่ใช่เรื่องไกลตัวของเราอีกต่อไปแล้ว อาจเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ที่ไหนก็ได้ ดังนั้น การป้องกันที่ดีที่สุดก็คือ การเรียนรู้เพื่อเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับการเกิดแผ่นดินไหว

อ้างอิง :

Related posts

เปลี่ยนวิธีจัดการ ‘ตอซังข้าว’ ลด PM2.5 ด้วย ‘จุลินทรีย์ย่อยสลาย’

14 มกราคม ‘วันอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้แห่งชาติ’ ร่วมปกป้องผืนป่าไทย

เปิดอาชีพ ‘ทักษะสีเขียว’ ที่โลกกำลังต้องการ ปี 2025