“แผ่นดินไหว” ครั้งประวัติศาสตร์ 8.2 แมกนิจูด จุดศูนย์กลางเมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา เขย่ากรุง เปิดต้นเหตุมาจาก “รอยเลื่อนสะกาย” ขนาดใหญ่ยาว 1,000 กิโลเมตร
เหตุแผ่นดินไหว ขนาด 8.2 ความลึก 10 กิโลเมตร ศูนย์กลางบริเวณเมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา ได้รับแจ้งรู้สึกสั่นไหวในหลายพื้นที่ทั่วประเทศไทย บริเวณภาคเหนือ ภาคกลาง รวมถึงกรุงเทพมหานคร ที่ทำให้อาคารก่อสร้างสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน พังถล่มลงมา ทำให้มีคนงานติดค้างอยู่ภายในไม่ทราบชะตากรรมหลายร้อยชีวิต
หลังจากนั้นเป็นต้นมา กรมอุตุนิยมวิทยา ได้อัปเดตการเกิดอาฟเตอร์ช็อก ตามมาอีกถึง 21 ครั้ง และคาดว่าจะมีอีกเป็นระยะ
- ครั้งที่ 1 เวลา 13.32 น. ขนาด 7.1
- ครั้งที่ 2 เวลา 13.45 น. ขนาด 5.5
- ครั้งที่ 3 เวลา 14.24 น. ขนาด 4.0
- ครั้งที่ 4 เวลา 14.37 น. ขนาด 5.2
- ครั้งที่ 5 เวลา 14.42 น. ขนาด 3.9
- ครั้งที่ 6 เวลา 14.50 น. ขนาด 3.5
- ครั้งที่ 7 เวลา 14.57 น. ขนาด 4.7
- ครั้งที่ 8 เวลา 15.21 น. ขนาด 4.0
- ครั้งที่ 9 เวลา 15.45 น. ขนาด 3.7
- ครั้งที่ 10 เวลา 15.52 น. ขนาด 3.8
- ครั้งที่ 11 เวลา 16.06 น. ขนาด 4.2
- ครั้งที่ 12 เวลา 16.11 น. ขนาด 3.8
- ครั้งที่ 13 เวลา 16.26 น. ขนาด 4.3
- ครั้งที่ 14 เวลา 16.30 น. ขนาด 4.5
- ครั้งที่ 15 เวลา 16.55 น. ขนาด 4.9
- ครั้งที่ 16 เวลา 17.28 น. ขนาด 3.1
- ครั้งที่ 17 เวลา 17.30 น. ขนาด 4.1
- ครั้งที่ 18 เวลา 17.50 น. ขนาด 3.0
- ครั้งที่ 19 เวลา 17.53 น. ขนาด 2.8
- ครั้งที่ 20 เวลา 17.59 น. ขนาด 4.0
- ครั้งที่ 21 เวลา 18.10 น. ขนาด 3.3
รอยเลื่อนสะกาย สาเหตุแผ่นดินไหว
ศ.ภาสกร ปนานนท์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์พื้นพิภพ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระบุว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้ค่อนข้างรุนแรง เกิดจาก “รอยเลื่อนสะกาย” ปลดปล่อยพลังงานในรอบหลาย 10 ปีของเมียนมา คาดการณ์ว่าน่าจะเกิดความเสียหายจำนวนมาก โดยปกติเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.7 สามารถเกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมาได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ครั้ง เนื่องจากเป็นรอยเลื่อนขนาดใหญ่ยาว 1,000 กิโลเมตร และเคยเกิดแผ่นดินไหวขนาด 8 มาแล้วบนรอยเลื่อนสะกาย
รอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault) เป็นหนึ่งในรอยเลื่อนที่มีพลัง (Active Fault) ที่สำคัญและใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยความยาวประมาณ 1,200 กิโลเมตร รอยเลื่อนนี้ทอดตัวในแนวเหนือ-ใต้ ผ่ากลางประเทศเมียนมา เริ่มจากเมืองมิตจีนา (Myitkyina) ทางตอนเหนือ ผ่านเมืองสำคัญอย่างมัณฑะเลย์ (Mandalay), ตองยี (Taunggyi), เนปิดอว์ (Naypyidaw), พะโค (Bago), ย่างกุ้ง (Yangon) และยาวต่อเนื่องลงไปจนถึงทะเลอันดามัน รอยเลื่อนสะกายไม่เพียงแต่เป็นโครงสร้างทางธรณีวิทยาที่น่าสนใจ แต่ยังเป็นแหล่งกำเนิดของแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบทั้งในเมียนมาและประเทศใกล้เคียง รวมถึงประเทศไทย
ลักษณะและที่มาของรอยเลื่อนสะกาย
รอยเลื่อนสะกายเป็นรอยเลื่อนแบบตามแนวระดับ (Strike-Slip Fault) ที่มีการเคลื่อนตัวแบบเหลื่อมขวา (Right-Lateral Strike-Slip) เกิดจากการเคลื่อนที่สัมพัทธ์ระหว่างแผ่นเปลือกโลกอินเดีย (Indian Plate) และแผ่นยูเรเซีย (Eurasian Plate) ซึ่งชนกันอย่างต่อเนื่องในบริเวณเทือกเขาหิมาลัยและที่ราบสูงทิเบต แรงดันจากการชนกันนี้ผลักให้เกิดการเคลื่อนตัวในแนวนอนตามรอยเลื่อนสะกาย โดยมีอัตราการเลื่อนตัวเฉลี่ยประมาณ 1-2 เซนติเมตรต่อปี การสะสมพลังงานจากการเคลื่อนตัวนี้ เมื่อถึงจุดหนึ่งจะถูกปลดปล่อยออกมาในรูปแบบของแผ่นดินไหว ซึ่งมักมีความรุนแรงสูงเนื่องจากขนาดและความยาวของรอยเลื่อน
รอยเลื่อนนี้ตั้งอยู่ในเขตแปรสัณฐาน (Tectonic Zone) ที่ซับซ้อน โดยด้านตะวันตกของเมียนมามีรอยเลื่อนอันดามัน (Andaman Fault) และด้านตะวันออกมีรอยเลื่อนในประเทศไทย เช่น รอยเลื่อนแม่จันและรอยเลื่อนพะเยา ความสัมพันธ์ระหว่างรอยเลื่อนเหล่านี้ทำให้ภูมิภาคนี้มีความเสี่ยงต่อภัยพิบัติแผ่นดินไหวอย่างต่อเนื่อง
ประวัติแผ่นดินไหวจากรอยเลื่อนสะกาย
รอยเลื่อนสะกายเคยก่อให้เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงหลายครั้งในประวัติศาสตร์ ตัวอย่างที่เด่นชัด ได้แก่:
- แผ่นดินไหวปี 2473 (ค.ศ. 1930) – ขนาด 7.3 แมกนิจูด บริเวณเมืองพะโค ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 500 คน และสร้างความเสียหายอย่างหนักต่อสิ่งปลูกสร้าง
- แผ่นดินไหวปี 2534 (ค.ศ. 1991) – ขนาด 7.0 แมกนิจูด เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดในรอบ 50 ปี
- แผ่นดินไหวล่าสุด วันที่ 28 มีนาคม 2568 – ขนาด 7.7 แมกนิจูด ใกล้เมืองมัณฑะเลย์ ส่งผลให้เกิดอาฟเตอร์ช็อกถึง 9 ครั้ง (จนถึง 18:10 น.) ขนาดตั้งแต่ 3.7-7.1 แมกนิจูด แรงสั่นสะเทือนรู้สึกได้ถึงกรุงเทพมหานคร และมีรายงานตึกถล่มในย่านจตุจักร
จากสถิติในช่วง 50 ปี (พ.ศ. 2516-2566) รอยเลื่อนสะกายก่อให้เกิดแผ่นดินไหวรวม 668 ครั้ง ขนาดตั้งแต่ 2.9-7.0 แมกนิจูด แสดงให้เห็นถึงพลังที่ซ่อนอยู่ในรอยเลื่อนนี้ ผู้เชี่ยวชาญจากกรมทรัพยากรธรณีของไทยคาดการณ์ว่า ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า รอยเลื่อนสะกายอาจก่อให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดสูงสุดถึง 7.5-8.0 แมกนิจูด ซึ่งอาจสร้างความเสียหายรุนแรงกว่านี้หลายเท่า
ผลกระทบต่อประเทศไทย
ถึงแม้ว่ารอยเลื่อนสะกายจะอยู่ในเมียนมา แต่แรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ สามารถส่งผลถึงประเทศไทยได้ โดยเฉพาะในภาคเหนือ เช่น จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และลำปาง ซึ่งอยู่ใกล้ชายแดนเมียนมา รวมถึงกรุงเทพมหานคร ที่มีลักษณะดินตะกอนอ่อนนุ่มในแอ่งที่ราบลุ่มภาคกลาง ดินประเภทนี้มีคุณสมบัติขยายคลื่นไหวสะเทือน (Amplification) ทำให้ตึกสูงที่มีความถี่ธรรมชาติสอดคล้องกับคลื่นแผ่นดินไหวเกิดการสั่นพ้อง (Resonance) และอาจพังทลายได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือเหตุการณ์เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งตึกในกรุงเทพฯ รู้สึกสั่นไหว และเกิดความเสียหายบางส่วน
ลักษณะภูมิประเทศที่บ่งบอกถึงรอยเลื่อน
แนวรอยเลื่อนสะกาย พบหลักฐานทางธรณีสัณฐาน (Geomorphology) ที่บ่งบอกถึงการเคลื่อนตัว เช่น:
- ผารอยเลื่อน (Fault Scarp) – เกิดจากการยกตัวของพื้นผิวตามแนวรอยเลื่อน
- หนองน้ำยุบตัว (Sag Pond) – เกิดจากการทรุดตัวของพื้นดินตามแนวรอยเลื่อน
- ทางน้ำหักงอ (Offset Stream) – ลำน้ำที่ถูกตัดขาดหรือเลื่อนจากตำแหน่งเดิม
ลักษณะเหล่านี้ยืนยันว่า รอยเลื่อนสะกาย มีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง และยังคงเป็นภัยคุกคามที่ต้องเฝ้าระวัง
ความเสี่ยงและการเตรียมพร้อม
ถึงแม้ว่ารอยเลื่อนสะกายจะเป็นรอยเลื่อนแบบตามแนวระดับ ซึ่งมีโอกาสน้อยมากที่จะก่อให้เกิดสึนามิ (เนื่องจากไม่มีการเคลื่อนตัวในแนวดิ่งที่รุนแรง) แต่แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นอาจตามมาด้วยอาฟเตอร์ช็อกนับร้อยถึงพันครั้ง ซึ่งอาจสร้างความเสียหายเพิ่มเติมได้
นักวิชาการ เปรียบว่า รอยเลื่อนสะกายไม่ใช่แค่รอยแตกในเปลือกโลกธรรมดา แต่เป็น “ยักษ์หลับ” ที่พร้อมตื่นตัวและปลดปล่อยพลังอันมหาศาลได้ทุกเมื่อ ด้วยความยาว 1,200 กิโลเมตร และประวัติการก่อแผ่นดินไหวรุนแรงในอดีต รอยเลื่อนนี้เป็นเครื่องเตือนใจถึงพลังของธรรมชาติที่มนุษย์ไม่อาจควบคุมได้ การตระหนักถึงความเสี่ยงและการเตรียมพร้อมอย่างเหมาะสมทั้งในเมียนมาและประเทศไทย จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อลดความสูญเสียจากภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต