5 ปีอุณภูมิโลกส่อทะลุ 1.5 องศา ไทยเร่งรับมือ 6 สาขาเสี่ยงระดับพื้นที่

จตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

อีก 5 ปีอุณภูมิโลกมีแนวโน้มสูงเกิน 1.5 องศา ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น ปะการังฟอกขาว เกิดภัยแล้งรุนแรง และผลผลิตทางการเกษตรลดลง ไทยต้องเร่งรับมือ

เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2567 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (สส.) เปิดงานทิศทางประเทศไทยกับภารกิจด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์การดำเนินงานใน 6 สาขาความเสี่ยง เพื่อขยายผลการขับเคลื่อนจากส่วนกลางไปสู่ระดับพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวเปิดว่า จากข้อมูล IPCC ระบุว่า ที่ผ่านมาอุณภูมิของโลกได้เพิ่มสูงขึ้นแล้ว 1.3 องศาเซลเซียส และในอีก 5 ปีข้างหน้ามีโอกาสที่จะเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งผลกระทบที่สำคัญ ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล ปะการังเสี่ยงอยู่ในภาวะฟอกขาว เกิดภัยแล้งรุนแรงในบางภูมิภาคของโลก ผลผลิตทางการเกษตรลดลง

อีกทั้งรูปแบบของภูมิอากาศทั่วโลกในบางพื้นที่เริ่มเปลี่ยนแปลงแล้วเมื่อเทียบกับอดีต สำหรับประเทศไทยจะเผชิญกับความเสี่ยงที่รุนแรงและยากต่อการคาดการณ์มากขึ้น เช่น ภาคใต้เกิดฝนตกหนักแบบกระจุกตัว (Rainbomb) เกิดน้ำท่วมฉับพลันและดินโคลนถล่ม ประชาชนได้รับผลกระทบกว่า 7 แสนครัวเรือน มีผู้เสียชีวิต 35 ราย มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจราว 5,000 – 1 หมื่นล้านบาท

 

พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม

 

จากการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 29 หรือ COP29 ที่ผ่านมา ได้มีการพิจารณาตัวชี้วัดเป้าหมายด้านการปรับตัวระดับโลก (Global Goal on Adaptation : GGA) โดยจะสรุปผลการจัดทำตัวชี้วัดดังกล่าวในการประชุมที่บอนน์ ประเทศเยอรมนี ในช่วงกลางปีหน้า

ขณะที่เป้าหมายการสนับสนุนทางการเงินเพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก (BAKU Finance Goal) มีมติเห็นชอบการระดมเงินทุนจากประเทศพัฒนาแล้ว 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ภายในปี 2578 ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา จึงเสนอวงเงินที่ต้องการอย่างน้อย 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี เพื่อดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจก การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการลดความสูญเสียและความเสียหายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

สำหรับไทยได้ถูกจัดอันดับประเทศที่ได้รับความเสี่ยงจากเหตุการณ์ภูมิอากาศสุดขั้ว เป็นอันดับ 9 ของโลก จำเป็นต้องเร่งดำเนินการเรื่องการปรับตัว ซึ่งที่ผ่านมา ทส. โดยกรมลดโลกร้อนได้จัดทำแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (NAP) ที่สอดคล้องกับเป้าหมายด้านการปรับตัวระดับโลก และได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ในปี 2568 จะจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศรายสาขา (Thailand’s Action Plan on Adaptation) เพื่อขับเคลื่อนงานด้านการปรับตัวสู่ระดับพื้นที่ โดยจะมีโครงการสำคัญ (Flagship Project) ภายใต้แผนปฏิบัติการฯ นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาข้อมูลการคาดการณ์ภูมิอากาศในระยะยาวจากแบบจำลองภูมิอากาศ และการปรับปรุงแผนที่ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อสนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้ในการวางแผนและกำหนดนโยบาย

อีกทั้ง ทส. ได้ลงนาม MOU ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข ขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการปรับตัวฯ สาขาสาธารณสุขภายใต้แผน NAP เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา และจะมีแผนจะลงนาม MOU ให้ครบ 5 สาขา ประกอบด้วยกระทรวงมหาดไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเป้าหมายด้านการปรับตัวระดับโลกและระดับประเทศ สู่ระดับจังหวัดและท้องถิ่น โดยจะเชื่อมโยงกับการดำเนินงานภายใต้แผนปฏิบัติการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับพื้นที่ รับผิดชอบโดยสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด

สำหรับงานในวันนี้นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการสร้างความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงาน เพื่อให้ประชาชนชาวไทยมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างยั่งยืน โดยมีปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธาน และ ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวรายงาน ณ โรงแรม เดอะ สุโกศล กรุงเทพมหานคร

Related posts

กรรมการชาติเห็นชอบร่างพรบ.โลกร้อน เดินหน้าสู่เศรษกิจคาร์บอนต่ำ

จัดเดิน-วิ่ง มินิมาราธอน ปีที่ 2 ส่งต่อขาเทียมช่วยผู้พิการยากไร้

‘COP-19’ ดันอาเซียน เป็นภูมิภาคปลอด หมอกควัน