โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่คือ “นักฆ่า” ไม่ใช่ “ฮีโร่”

การระบาดของโควิด-19 ทำให้กิจกรรมของมนุษย์หยุดนิ่ง การปล่อยมลพิษลดลง ท้องฟ้าสะอาดขึ้น ถนนไม่มีควัน สิงสาราสัตว์ออกมาเพ่นพ่านในเมือง เหมือนกำลังทวงคืนบ้านของพวกมันคืนจากมนุษย์

สองสามปีที่ผ่านมา เรากังวลกันมากว่าปัญหาโลกร้อนทำท่าว่าจะเลวร้ายถึงขนาดสู่จุดที่แก้ไขอะไรไม่ได้อีก (The point of no return) ตอนนี้บางคนคงคิดว่าถ้ามนุษย์หยุดได้แบบนี้ตลอดไปคงดี

ถ้าคิดได้แบบนี้ก็ดีไป แต่บางคนดันไปคิดว่า “ไวรัสคือฮีโร่” ส่วนมนุษย์นี่คือ “ไวรัสตัวจริง”
คนพวกนี้คิดว่าโลกคือสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ ส่วนมนุษย์คือไวรัสหรือแบคทีเรียที่กัดกินโลกแบบไม่บันยะบันยัง จนกระทั่งโลกกำลังจะตาย

ความตายก็คือ point of no return คือกลับมาดีเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว มีแต่แห้งเหี่ยวจนถึงวันสิ้นโลก วันที่น้ำแข็งละลายไม่หยุด วันที่ภาวะเรือนกระจกแก้ไม่ได้อีก วันที่อุณหภูมิโลกมีแต่สูงขึ้น

สภาพของโลกในเวลานั้นจะเหมือนคนธาตุไฟแตก รอวันตายสถานเดียว เพราะน้ำมือของ “ไวรัสมนุษย์”

แต่จู่ๆ ก็มีโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมาในช่วงเวลาที่เรากำลังกังวลว่าจะแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่รอด

บางคนเลยนึกเองเออเองว่าโลกคงจะสวนกลับด้วยการปล่อย “ภูมิคุ้มกัน” ออกมาทำลายล้างมนุษย์ที่เป็น “ไวรัส”

ฟังเผินๆ เหมือนจะชวนซึ้ง แต่เป็นความคิดที่ฉาบฉวย ไร้ความเห็นใจเพื่อนมนุษย์ที่ต้องตายไปโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว

โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่คือ “นักฆ่า” ไม่ใช่ “ฮีโร่”

และโควิด-19 คือโรคร้ายไม่ใช่…ตัวปรับสมดุลโลก

มันคือความจริงที่การทำลายสิ่งแวดล้อมเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคน แต่โควิด-19 มันไม่ได้เลือกหรอกว่าคนที่จะเล่นงานคือคนที่ทำลายโลกหรือคนที่รักษ์โรค

อย่างเจ้าชายชาร์ลส์ของอังกฤษซึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของโครงการเพื่อความยั่งยืนหลายอย่างยังทรงติดเชื้อ

ส่วนโดนัลด์ ทรัมป์ ที่นำสหรัฐถอนตัวออกจากความตกลงปารีสจนทำให้ความพยายามกอบกู้โลกต้องเป๋ไม่เป็นท่า ยังไม่ติดเชื้อซะงั้น

นี่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าไวรัสไม่ได้มาช่วยโลกอะไรทั้งนั้น มันคือเชื้อโรคตามธรรมชาติที่ทำร้ายคนไม่เลือกหน้าว่าคนๆ นั้นเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมหรือเป็นวายร้ายต่อสิ่งแวดล้อม

ทำไมคนถึงคิดว่าโควิด-19 เป็นพระเอก ส่วนพวกเราเหล่ามนุษย์เป็นผู้ร้าย? ก็เพราะเรารู้ว่าเราทำลายโลกเลวร้ายแค่ไหน แต่เราไม่ลงมือแก้ปัญหาซะที เพราะเราขี้เกียจ เพราะเราดีแต่พูด เพราะเราดีแต่โทษคนอื่น

พอมีโรคระบาดขึ้นมาเราก็ใช้โรคมาแก้ต่างความไม่เอาไหนของเรา

คนที่คิดแบบนี้ไม่ใช่เพิ่งมาคิดได้ แต่มีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ในเรื่อง The Matrix (ปี 1999) มีบทสนทนาตอนหนึ่งของ Agent Smith ที่บอกว่า Do you know what it is? A virus. Human beings are a disease, a cancer of this planet. You’re a plague and we are the cure.

แปลว่า “คุณรู้ไหมว่านี่มันอะไร? มันคือไวรัส มนุษย์เป็นโรคมะเร็งของโลกนี้ คุณเป็นโรคระบาดและเราเป็นผู้รักษา”

มันยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่าว่า Eco-terrorism ผู้ก่อการร้ายเพื่อพิทักษ์ระบบนิเวศ
พวกก่อการร้ายเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมในหลายกลุ่ม ลงมือหลายแบบ แต่มีบางกลุ่มเชื่อว่ามนุษย์คือส่วนเกินของสิ่งแวดล้อม

คล้ายๆ บางคนที่เชื่อไวรัสของโลกคือมนุษย์ ส่วนโควิด-19 เหมือนเม็ดเลือดขาวที่โลกผลิตขึ้นมาทำลายมนุษย์

แต่โรคระบาดทั่ว ไม่ได้เกิดขึ้นในยุคหัวเลี้ยวหัวต่อของการทำลายสิ่งแวดล้อมเสมอไป เช่นกาฬโรคสมัยกลางเกิดในยุคสมัยที่คนยังทำเกษตรแทบไม่มีการทำลายโลกมากไปกว่าการไถนา เผาฟืน และโค่นป่าเพื่อสร้างบ้าน

ไข้หวัดสเปนก็เกิดมาตอนที่มนุษย์โลกกำลังฆ่ากันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 พอดี โลกไม่จำเป็นต้องผลิตเชื้ออะไรออกมาเพื่อฆ่ามนุษย์เลย เพราะมนุษย์กำลังฆ่ากันอยู่ดี

มนุษย์ก็เหมือนสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เรามีหน้าที่สร้างสมดุลให้กับโลกด้วย ถ้าไม่มีมนุษย์เราคงจินตนาการไม่ถูกว่าโลกจะปั่นป่วนเพราะขาดสมุดลแค่ไหน

แต่เราก็ทำเกินดุลมากเกินไปจริงๆ

ในหนัง (ซึ่งเป็นเรื่องจินตนาการ) Agent Smith บอกไว้ว่า “สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกตัวบนโลกใบนี้พัฒนาสัญชาตญาณสมดุลทางธรรมชาติกับสภาพแวดล้อมรอบตัวมัน แต่พวกมนุษย์อย่างคุณทำไม่ได้

ตรงกันข้ามพวกคุณทวีคูณและทวีคูณไปเรื่อยๆ จนกว่าทรัพยากรทุกอย่างจะหมด วิธีเดียวที่คุณจะเอาตัวรอดคือการแพร่กระจายไปยังพื้นที่อื่น มีสิ่งมีชีวิตอีกอย่างบนโลกใบนี้ที่มีรูปแบบเหมือนกันคือ … ไวรัส”

มันอาจจะจริงเหมือนตัวละครพูด แต่มันไม่จริงทั้งหมด เพราะอย่างน้อยมนุษย์มีการไตร่ตรองด้วยเหตุผล แต่ไวรัสไม่มี

นี่คือสิ่งที่เราต่างจากไวรัส – เราเลือกได้ว่าจะทำลายแบบไม่ยั้งหรือจะรักษาโลกของเรากันดี

Related posts

มหาอำนาจโลกในมือ ‘ทรัมป์’ จุดจบการดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศ?

โลกจมกองพลาสติก ต้องเปลี่ยนวิธีผลิต ลดการบริโภค กำจัดอย่างยั่งยืน

อุณหภูมิทะลุ 3.1°C แผนลดก๊าซเรือนกระจกในปี 2030 เป็นเรื่องเพ้อฝัน