ฤดูใบไม้ผลิ 2025 ชาวอเมริกันเผชิญอาการภูมิแพ้ ยาวนาน และรุนแรงขึ้น นักวิทยาศาสตร์ ยืนยัน ภาวะโลกร้อน เป็นตัวการสำคัญที่เพิ่มละอองเกสรและมลพิษ
เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง ชาวอเมริกันนับล้านต้องเผชิญกับอาการภูมิแพ้ตามฤดูกาลที่คุ้นเคย ตั้งแต่จาม น้ำมูกไหล ไปจนถึงตาแดงและไซนัสอักเสบ แต่ในปี 2025 อาการเหล่านี้ดูเหมือนจะรุนแรงกว่าที่เคย นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะอุณหภูมิที่สูงขึ้นและระดับคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้น เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ฤดูภูมิแพ้ยาวนานและรุนแรงขึ้น
ภาวะโลกร้อน: ตัวเร่งให้ภูมิแพ้รุนแรง
อุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้พืชออกดอกเร็วขึ้นและปล่อยละอองเกสรนานขึ้น ส่งผลให้ฤดูละอองเกสรในบางพื้นที่ของสหรัฐฯ ยาวนานขึ้นหลายสัปดาห์ ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นในชั้นบรรยากาศกระตุ้นให้พืช เช่น ต้นไม้ หญ้า และแร็กวีด ผลิตละอองเกสรมากขึ้นและรุนแรงขึ้น มลพิษทางอากาศยังเปลี่ยนองค์ประกอบทางเคมีของละอองเกสร ทำให้ก่อภูมิแพ้ได้มากกว่าเดิม
เมืองอย่างแอตแลนตาและฮูสตัน เผชิญกับปริมาณละอองเกสรที่สูงเป็นประวัติการณ์ โดยแอตแลนตาบันทึกปริมาณละอองเกสรจากต้นสน โอ๊ก และเบิร์ช สูงถึง 14,801 เมล็ดต่อลูกบาศก์เมตร ส่วนฮูสตันเผชิญกับระดับละอองเกสรสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2013 มูลนิธิโรคหอบหืดและภูมิแพ้แห่งอเมริกา (AAFA) คาดการณ์ว่า ปี 2025 จะเป็นอีกปีที่เลวร้ายสำหรับผู้ป่วยภูมิแพ้ โดยเฉพาะในเมืองทางตอนใต้ของสหรัฐฯ
“สารก่อภูมิแพ้จากต้นไม้เริ่มปรากฏเร็วกว่า 30 ปีที่แล้วถึง 20 วัน” เคนเนธ เมนเดซ ซีอีโอของ AAFA กล่าว “ผู้ป่วยจำนวนมากบอกว่าไม่เคยมีอาการแพ้มาก่อน หรือรู้สึกว่าอาการแย่ลง ซึ่งเป็นผลจากปริมาณละอองเกสรที่เพิ่มขึ้นจากภาวะโลกร้อน”
ผลกระทบต่อสุขภาพและเศรษฐกิจ
ละอองเกสรที่เพิ่มขึ้นไม่เพียงรบกวนชีวิตประจำวัน แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อผู้ป่วยโรคหอบหืด โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน การศึกษาจากสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อม (EPA) ระบุว่า การเข้ารับการรักษาในห้องฉุกเฉินจากโรคหอบหืดที่เกี่ยวข้องกับละอองเกสรมีมากถึง 60,000 ครั้งต่อปี และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ อาการภูมิแพ้ยังสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปี จากการขาดงาน ค่ารักษาพยาบาล และการสูญเสียประสิทธิภาพในการทำงาน
สำหรับบางคน ละอองเกสรอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ภาวะภูมิแพ้ทั่วร่างกาย (anaphylaxis) ที่อาจทำให้ทางเดินหายใจปิดและความดันโลหิตลดต่ำถึงระดับอันตราย ละอองเกสรขนาดเล็กสามารถแทรกซึมเข้าสู่บ้านผ่านช่องระบายอากาศ เสื้อผ้า หรือขนสัตว์เลี้ยง ทำให้หลีกเลี่ยงได้ยาก
ปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่ซ้ำเติม
นอกจากละอองเกสรแล้ว มลพิษทางอากาศจากโอโซน ฝุ่นละออง และควันจากไฟป่ายังทำให้อาการภูมิแพ้รุนแรงขึ้น สภาพอากาศที่รุนแรง เช่น พายุเฮอริเคน กระตุ้นการเติบโตของเชื้อราก่อภูมิแพ้ โดยเฉพาะในพื้นที่อย่างนิวออร์ลีนส์ ซึ่งความชื้นและความเสียหายจากพายุสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับเชื้อรา
“พายุสร้างความเสียหายต่อบ้านเรือน หลังคารั่วและความชื้นทำให้เชื้อราเติบโต โดยเฉพาะในชุมชนที่ขาดทรัพยากรในการซ่อมแซม” จอห์น คาร์ลสัน ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้จากระบบสุขภาพ Ochsner ในนิวออร์ลีนส์ กล่าว
อนาคตของภูมิแพ้และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
หากแนวโน้มภาวะโลกร้อนยังดำเนินต่อไป คาดว่าปริมาณละอองเกสรในบางพื้นที่ เช่น เท็กซัส อาจเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าภายในปี 2593 การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจึงเป็นกุญแจสำคัญในการบรรเทาปัญหานี้ในระยะยาว ขณะเดียวกัน ผู้ป่วยภูมิแพ้ต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับฤดูกาลที่ยาวนานและรุนแรงขึ้น
“อาการจามและน้ำมูกไหลไม่ใช่แค่ความรำคาญ แต่เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” เมนเดซกล่าว “การเตรียมพร้อมและจัดการอาการอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้นในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้”
ในฤดูใบไม้ผลิ 2025 ผู้ป่วยภูมิแพ้ต้องเผชิญกับความท้าทายที่มากกว่าปกติ แต่ด้วยความรู้และการเตรียมตัวที่เหมาะสม พวกเขาสามารถลดผลกระทบจากละอองเกสรและสารก่อภูมิแพ้อื่นๆ เพื่อใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลกที่กำลังร้อนขึ้น
อ้างอิง :