สถานการณ์ไฟป่าในแคนาดาเลวร้ายที่สุดเป็นประวัติการณ์และได้ทำลายสถิติสูงสุดของประเทศ ล่าสุดได้เผาผลาญพื้นที่ในประเทศไปแล้วราว 1.4 แสนตารางกิโลเมตร หรือมีขนาดเทียบเท่ากับรัฐนิวยอร์กของสหรัฐ นอกจากมีประชาชนต้องอพยพกว่าแสนคนแล้ว ฝุ่นควันที่พัดปกคลุมไปทั่วประเทศทำให้มีการปล่อยคาร์บอนเข้าสู่ชั้นบรรยากาศมากถึง 160 ล้านตัน
เอเอฟพีรายงานว่า สถิติไฟป่าสูงสุดตลอดกาลก่อนหน้านี้เกิดขึ้นในปี 2532 เสียหายอยู่ที่ประมาณ 45.6 ล้านไร่ แต่ในปี 2566 นี้ตั้งแต่เดือน ม.ค. เป็นต้นมา ปรากฎว่าแคนาดาเกิดไฟป่าเกิดขึ้นทั้งหมด 4,088 ครั้ง ทำให้ผู้คนมากกว่า 1.5 แสนคนต้องพลัดถิ่น พื้นที่เสียหาย 10 ล้านเฮกตาร์ หรือประมาณ 62.5 ล้านไร่ และทำลายสถิติความเสียหายสูงสุดของประเทศ ซึ่งปัจจุบันไฟป่ายังคงลุกลามต่อไป
เมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมาซึ่งเป็นช่วงต้นฤดูไฟป่า รัฐอัลเบอร์ตาทางตะวันตกของแคนาดากลายเป็นศูนย์กลางที่เกิดไฟป่ามากเป็นประวัติการณ์
โดยหลายสัปดาห์ต่อมาสถานการณ์เริ่มลุกลามไปยังรัฐโนวาสโกเชียทางชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ ตามมาด้วยรัฐควิเบกทางตะวันออกซึ่งเกิดไฟป่าครั้งใหญ่ ทำให้เกิดควันปกคลุมพื้นที่บางส่วนของสหรัฐอเมริกาด้วย
ทั้งนี้ เมื่อต้นเดือน ก.ค. สถานการณ์ไฟป่ามาเกิดในรัฐบริติชโคลัมเบียมากกว่า 250 จุด ภายในเวลาเพียง 3 วัน จากนั้นเหตุการณ์รุนแรงมากขึ้นจนไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้รัฐบริติชโคลัมเบียซึ่งอยู่ทางตะวันตกของแคนาดาต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน เมื่อวันที่ 18 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยล่าสุดพื้นที่ได้รับความเสียหายแล้วกว่า 1.4 แสนตารางกิโลเมตร
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ไฟป่าส่วนใหญ่เกิดจากฟ้าผ่า ซึ่งปัจจุบันแคนาดามีฝนตกต่ำกว่าค่าเฉลี่ยหลายเดือนและอุณหภูมิเฉลี่ยที่สูงขึ้นเพราะคลื่นความร้อน ทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่กำลังประสบปัญหาภัยแล้งอย่างรุนแรง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า แคนาดาจะร้อนเร็วกว่าส่วนอื่นๆ ของโลก เนื่องจากสภาพทางภูมิศาสตร์ และต้องเผชิญกับความแปรปรวนของสภาพอากาศที่รุนแรงด้วยความถี่ที่เพิ่มขึ้น
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า จากสถานการณ์ไฟป่าในรัฐบริติชโคลัมเบียลุกไหม้อย่างต่อเนื่องเมื่อวันที่ 19 ส.ค. ที่ผ่านมา ทำให้ต้องออกคำสั่งอพยพประชาชนในพื้นที่เพิ่มเป็น 3.5 หมื่นคน โดยเจ้าหน้าที่ต้องหาที่พักพิงให้แก่ผู้อพยพจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม แม้แคนาดาจะเผชิญกับเหตุการณ์ไฟป่าอยู่บ่อยครั้ง แต่ปีนี้ถือว่าเลวร้ายที่สุดเป็นประวัติการณ์ และมีแนวโน้มเลวร้ายลงไปอีก โดยคาดว่าไฟป่าได้เผาผลาญพื้นที่ในแคนาดาไปแล้วราว 1.4 แสนตารางกิโลเมตร หรือมีขนาดเทียบเท่ากับรัฐนิวยอร์กของสหรัฐ ซึ่งรัฐบาลแคนาดาคาดว่าฤดูไฟป่าในปีนี้อาจลากยาวไปจนถึงฤดูใบไม้ร่วงของปีนี้ เนื่องจากสภาพอากาศที่แห้งแล้งได้ขยายวงกว้างขึ้น
ผลพวงจากสถานการณ์ไฟป่าในแคนาดาไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ความเดือดร้อนประชาชที่ต้องอพยพและไร้ที่อยู่อาศัย แต่ฝุ่นควันจากไฟป่าได้พัดปกคลุมเมืองต่างๆ ไปทั่วแคนาดา อีกทั้งลุกลามไปยังบางรัฐในสหรัฐอเมริกาด้วย โดยนักวิทยาศาสตร์ระบุว่า ควันจากไฟป่าในแคนาดาได้ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เข้าสู่ชั้นบรรยากาศมากถึง 160 ล้านตันแล้ว
ปริมาณดังกล่าวถือว่ามากที่สุดเป็นประวัติการณ์ของแคนาดา นับตั้งแต่เริ่มเก็บข้อมูลจากดาวเทียมเมื่อปี 2546 และสูงทำลายสถิติเดิมในปี 2557 ที่ไฟป่าปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รวม 140 ล้านตัน ซึ่งคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาจากไฟป่าในแคนาดานั้นเทียบเท่ากับปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประจำปีของอินโดนีเซียที่มาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล
ปกติไฟป่าในแคนาดาจะรุนแรงที่สุดในช่วงเดือน ก.ค.ถึง ส.ค. แต่ปีนี้เผชิญกับไฟป่าเร็วกว่าปกติ โดยผู้เชี่ยวชาญระบุว่าส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นและสภาพความแห้งแล้งที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดประกายไฟได้ง่ายและลุกลามเร็ว