บิล เกตส์ มั่นใจ AI จะเป็นตัวช่วยมากกว่าอุปสรรคในการบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ แต่อาจไม่บรรลุ Net Zero ในปี 2050 ทว่าต้องยืดเวลาอีก 15 ปี
บิล เกตส์ เตือนว่าแม้จะมีความก้าวหน้าในด้าน AI และเทคโนโลยีพลังงานสีเขียว แต่โลกอาจพลาดเป้าหมายสภาพภูมิอากาศในปี 2050 ไปถึง 15 ปี เนื่องจากปริมาณไฟฟ้าสีเขียวหรือพลังงานสะอาดที่จะมาทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิลนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเร็วพอ ถ้าเป็นไปตามที่เกตส์ว่า โลกจะต้องยืดเป้าหมาย Net Zero ออกไปอีก 15 ปี
“ผมกังวลโดยทั่วไปว่า ปริมาณไฟฟ้าสีเขียวที่เราต้องการสำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่เกิดขึ้นเร็วเท่าที่เราต้องการ ถ้าคุณพยายามวางแผนและบอกว่า: ‘มาลดให้เหลือศูนย์ภายในปี 2050’ คุณจะคิดว่า: ‘อีก 10 หรือ 15 ปีอาจเป็นจริงมากกว่า’ มันยากมากที่จะเห็นว่าเราจะทำได้ เราจะไม่ถึงศูนย์ภายในปี 2050 ผมไม่คิดว่าเราจะทำได้” เกตส์กล่าว
คำเตือนของเกตส์เกิดขึ้นหนึ่งสัปดาห์หลังจากรายงานระดับโลกพบว่า แม้ว่าจะมีการเพิ่มขึ้นของพลังงานหมุนเวียนเป็นประวัติการณ์ในปี 2023 แต่การบริโภคเชื้อเพลิงฟอสซิลก็เพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์เช่นกัน เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
บิล เกตส์ ผู้ร่วมก่อตั้งไมโครซอฟท์ กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมามีการมองว่าปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะใช้พลังงานมหาศาลซึ่งมีผลต่อภาวะโลกร้อน แต่จริงๆ เขาเชื่อว่า AI จะมีประโยชน์มากกว่าสร้างอุปสรรคในการบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ แม้จะมีความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของศูนย์ข้อมูลใหม่ซึ่งอาจใช้พลังงานสีเขียวจนหมด
เกตส์ ยังเชื่อว่า AI จะช่วยให้ประเทศต่างๆ ใช้พลังงานน้อยลง แม้ว่าจะต้องการศูนย์ข้อมูลมากขึ้นก็ตาม โดยการทำให้เทคโนโลยีและโครงข่ายไฟฟ้ามีประสิทธิภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การรันคำถามผ่านเครื่องมือแชทบอท AI ChatGPT ต้องใช้พลังงานไฟฟ้ามากกว่าการค้นหาด้วย Google เกือบ 10 เท่า ตามการประมาณการของ Goldman Sachs ซึ่งอาจหมายความว่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากศูนย์ข้อมูลจะเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าในทศวรรษระหว่างปี 2022 ถึง 2030
มีการประมาณการจากผู้เชี่ยวชาญบางคนที่กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของจำนวนศูนย์ข้อมูล AI อาจทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 10% ในประเทศที่พัฒนาแล้ว หลังจากที่ความต้องการพลังงานลดลงมาหลายปีเนื่องจากประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น
เกตส์บอกกับผู้สื่อข่าวที่การประชุมในลอนดอน ซึ่งจัดโดยกองทุนการลงทุนของเขา Breakthrough Energy ว่าความต้องการพลังงานเพิ่มเติมที่สร้างขึ้นโดยศูนย์ข้อมูล AI น่าจะได้รับการชดเชยด้วยการลงทุนใหม่ในพลังงานสีเขียว เนื่องจากบริษัทเทคโนโลยี “ยินดีจ่ายเพิ่มขึ้นอย่างจริงจัง” เพื่อใช้แหล่งพลังงานสะอาดและบอกว่าพวกเขาใช้พลังงานสีเขียว
Breakthrough Energy ได้ลงทุนในบริษัทมากกว่า 100 แห่งที่มีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงพลังงาน เกตส์ยังเป็นนักลงทุนรายใหญ่ใน AI ผ่าน Gates Foundation Trust ซึ่งลงทุนประมาณหนึ่งในสามของทรัพย์สินมูลค่า 77 พันล้านดอลลาร์ ในไมโครซอฟท์ ซึ่งไมโครซอฟท์เป็นนักลงทุนภายนอกรายใหญ่ที่สุดใน OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT และได้สร้างชุดเครื่องมือ AI เข้าในระบบปฏิบัติการ Windows ภายใต้แบรนด์ Copilot
แต่ความเชื่อของเขาที่ว่า AI อาจลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ในที่สุดไม่ใช่เรื่องผิดปกติ โดยในเดือน ก.พ. ที่ผ่านมามีเอกสารที่ผ่านการตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิใน Nature Scientific Reports ซึ่งระบุว่า AI สร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าคน 130 – 2,900 เท่าในการทำงานเขียนและวาดภาพอย่างง่ายๆ
เทคโนโลยี AI ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อการปล่อยก๊าซคาร์บอนด้วย ในปี 2016 เพียงไม่กี่ปีหลังจากที่ Google ซื้อห้องปฏิบัติการ AI ของอังกฤษชื่อ DeepMind Google ประกาศว่าสามารถใช้เทคโนโลยี deep learning ที่กำลังเติบโตของห้องปฏิบัติการนั้นเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการทำความเย็นในศูนย์ข้อมูลของตนลงถึง 40% ในทันที Google กล่าวว่า ศูนย์ข้อมูลของตนต้องใช้ไฟฟ้าน้อยลง 15% ในงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับ IT ทั้งหมดเป็นผลจากการใช้เทคโนโลยีนี้
แต่การใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูลเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อก๊าซคาร์บอนของ AI ในรายงานการปล่อยก๊าซคาร์บอนของ Microsoft บริษัทกล่าวว่า การปล่อยก๊าซ “scope III” หรือการปล่อยก๊าซทางอ้อมของบริษัทมีแนวโน้มในทิศทางที่ไม่ดี ส่วนหนึ่งเนื่องจากผลกระทบจากการสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ทั่วโลก ซึ่งยังไม่สามารถทำได้โดยใช้พลังงานหมุนเวียน
นอกจากนั้นข้อมูลด้านลบของ AI ในอีกด้านกำลังสร้างความวิตกว่า จะเป็นตัวเร่งให้เกิด “วิกฤตขาดแคลนพลังงานไฟฟ้า” เพราะยิ่ง AI มีความซับซ้อนและถูกใช้เป็นวงกว้างมากขึ้นเท่าไร การใช้พลังงานไฟฟ้าก็สูงขึ้นตามไปด้วย และที่น่าตกใจ คือ การใช้แชตบอต AI ChatGPT 1 ครั้งกินพลังงานไฟฟ้ามากกว่า Google ถึง 10 เท่า
คริสโตเฟอร์ เวลลีซ์ แห่ง Equinix บริษัทข้ามชาติอเมริกันที่เป็นผู้นำด้านดาต้าเซ็นเตอร์ กล่าวว่า ก่อนยุค AI บูม ดาต้าเซ็นเตอร์ระดับไฮเปอร์สเกล หรือศูนย์ข้อมูลที่อาศัยพลังการประมวลผลอย่างมหาศาล ใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 10-15 กิโลวัตต์ แต่พอมาถึงยุค AI การใช้พลังงานไฟฟ้าได้พุ่งเป็น 40-60 กิโลวัตต์ ยิ่งไปกว่านั้น การรักษาอุณหภูมิศูนย์ข้อมูลเหล่านี้ให้เย็นลง ก็เป็นตัวเร่งการสูบพลังงานไฟฟ้าอีกด้วย
องค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ได้คาดการณ์ว่า ภายในปี 2026 ศูนย์ Data Center มีแนวโน้มใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 2 เท่า จากในปัจจุบัน และคิดเป็นสัดส่วนที่สูงขึ้นเป็น 1 ใน 3 ของความต้องการพลังงานไฟฟ้าในสหรัฐในอีก 2 ปีข้างหน้า สะท้อนว่าอุปทานไฟฟ้าของโลกกำลังถูกแบ่งให้กับ AI สูงขึ้นเรื่อยๆ
MIT Technology Review เคยระบุถึงการใช้พลังงานของ AI เมื่อเดือน ธ.ค. 2023 ไว้ว่า การใช้โมเดล AI เพื่อสร้างข้อความ (generate text) 1,000 ครั้ง ใช้พลังงานเพียง 16% ของการชาร์จสมาร์ทโฟนจนเต็ม แต่การสร้างภาพ 1,000 ภาพ ใช้พลังงานมากกว่านั้น คือการใช้พลังงานเท่ากับชาร์จสมาร์ทโฟนจนเต็ม 100%
“การใช้โมเดล AI ที่ทรงพลังสร้างภาพ 1,000 ภาพ เช่น Stable Diffusion XL เท่ากับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์พอๆ กับการขับรถที่ใช้น้ำมันเบนซินด้วยระยะทาง 6.5 กิโลเมตรโดยเฉลี่ย”
จะเห็นได้ว่า แม้ AI จะพลิกโฉมชีวิตผู้คนให้สะดวกสบาย แต่เบื้องหลังต้องใช้พลังงานไฟฟ้ามหาศาล ในอนาคตจึงเป็นความท้าทายว่า ไทยและทั่วโลกจะหาพลังงานจากที่ใดมาป้อนการใช้งาน AI ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยพลังงานสะอาด
อ้างอิง:
https://www.theguardian.com/technology/article/2024/jun/27/ai-bill-gates-climate-targets-datacentres-energy
https://www.bangkokbiznews.com/world/1126363
https://spacebar.th/lifestyle/ai-power-engulf-resources-possibly-worse-than-human