สำนักงานศาลยุติธรรมออกหนังสือเวียน “ปลดล็อกกัญชา” หลัง 9 มิ.ย. 2565 ผลิต-ขาย-นำเข้า-ส่งออก-เสพ-ครอบครอง พ้นคดีทั้งหมด อยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีก็รอด ขังต่อไม่ได้ คดีอยู่ระหว่างพิจารณาต้องยกฟ้อง อยู่ระหว่างรับโทษ การลงโทษสิ้นสุดลง คดีเก่า ๆ ได้รับการล้างมลทิน เอามาเป็นเหตุเพิ่มโทษ บวกโทษ หรือไม่รอการลงโทษในคดีหลังไม่ได้ ริบของกลางไม่ได้
ดร.ธนกฤต วรธนัชชากุล อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด ปฏิบัติราชการในหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักงานประสานงานกระบวนการยุติธรรม สถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด ให้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Thanakrit Vorathanachakul ว่าสำนักงานศาลยุติธรรมได้ออกหนังสือเวียน เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2565 เรื่อง ข้อพิจารณาความผิดเกี่ยวกับพืชกัญชาตามประมวลกฎหมายยาเสพติด ซึ่งผมเห็นว่าน่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั่วไปที่ควรจะได้รับทราบไว้ จึงขอสรุปสาระสำคัญตามหนังสือเวียนดังกล่าว ดังนี้
ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ. 2565 นับตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2565 ซึ่งประกาศฯ มีผลใช้บังคับ พืชกัญชาไม่จัดเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ตามประมวลกฎหมายยาเสพติดอีก
ดังนั้น การผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย เสพ หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งพืชกัญชา หรือการกระทำอื่นเกี่ยวกับพืชกัญชาก่อนวันที่ 9 มิถุนายน 2565 ซึ่งเดิมเคยเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และตามประมวลกฎหมายยาเสพติด จึงไม่เป็นความผิดอีกต่อไปซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า ถ้าตามบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง การกระทำเช่นนั้นไม่เป็นความผิดอีกต่อไป ให้ผู้ที่ได้กระทำการนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิด และถ้าได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษแล้ว ก็ให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดนั้น ถ้ารับโทษอยู่ก็ให้การลงโทษนั้นสิ้นสุดลง
ผลทางกฎหมายจากการที่พืชกัญชาไม่จัดเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ตามประมวลกฎหมายยาเสพติดอีกต่อไป จึงกล่าวโดยสรุปได้ดังนี้
1. ผู้ต้องหาที่อยู่ระหว่างถูกดำเนินคดี หรือจำเลยที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลในความผิดเกี่ยวกับพืชกัญชาดังกล่าวพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิด
2. สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (5)
3. ศาลไม่อาจขังผู้ต้องหาหรือจำเลยไว้ในระหว่างสอบสวนหรือระหว่างการพิจารณาคดีของศาลได้ อีกต่อไป ดังนั้น เมื่อสำนวนความปรากฏแก่ศาลก็ต้องยกเลิกการฝากขัง ปล่อยตัวผู้ต้องหา หรือตรวจคืนหลักประกันในการปล่อยชั่วคราว (ถ้ามี) หรือหากคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล ก็ต้องพิพากษายกฟ้อง
4. คดีความผิดเกี่ยวกับพืชกัญชาที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว จำเลยที่ได้รับโทษอยู่ก็ให้การลงโทษนั้นสิ้นสุดลงดังนั้น หากจำเลยอยู่ระหว่างการถูกกักขังแทนค่าปรับ ศาลก็ต้องปล่อยตัวจำเลยเนื่องจากไม่มีโทษปรับที่จะกักขังแทนค่าปรับต่อไปได้ หรือหากจำเลยอยู่ระหว่างการคุมความประพฤติ ก็ต้องยกเลิกการคุมความประพฤติ และหากจำเลยอยู่ระหว่างการถูกจำคุกในการกระทำความผิดฐานอื่นด้วย ก็จะต้องมีการแก้ไขหมายจำคุกเพื่อยกเลิกการบังคับโทษสำหรับความผิดเกี่ยวกับพืชกัญชา
5 ไม่อาจนำคดีความผิดเกี่ยวกับพืชกัญชาซึ่งศาลเคยมีพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกจำเลยในคดีก่อนมาเป็นเหตุเพิ่มโทษ บวกโทษ หรือไม่รอการลงโทษในคดีหลังได้ เนื่องจากตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคสอง ดังที่กล่าวไป ถือว่าจำเลยไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดเกี่ยวกับพืชกัญชาในคดีก่อน
6. พืชกัญชาไม่เป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 อีกต่อไป จึงมิใช่ทรัพย์สินที่ต้องริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 และประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 134