‘ป่าแอมะซอน’ ถูกถางสร้างถนน เพื่อ COP30 ยั่งยืนหรือหายนะ?

by Pom Pom

“ป่าแอมะซอน” สะเทือน เมื่อบราซิลตัดป่า สร้างทางหลวง 4 เลนใหม่ ก่อนประชุมสภาพภูมิอากาศ COP30 หลายคนตั้งคำถาม การตัดไม้ทําลายป่า ขัดแย้งกับวัตถุประสงค์ของการประชุมสุดยอดทางสภาพภูมิอากาศหรือไม่

ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักข่าว BBC ได้เผยแพร่รายงานที่สร้างความตื่นตัวในวงกว้าง โดยระบุว่า ทางหลวงสี่เลนสายใหม่ กำลังถูกก่อสร้างตัดผ่านป่าแอมะซอน ซึ่งเป็นพื้นที่คุ้มครองทางธรรมชาติที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศโลก ถนนเส้นนี้มีชื่อว่า “Avenida Liberdade” และถูกระบุว่า เป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมการสำหรับการประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 30 หรือ COP30 ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2025 ณ เมืองเบเลง รัฐปารา ประเทศบราซิล โดยคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมกว่า 50,000 คน รวมถึงผู้นำระดับโลก

ความยั่งยืนตามคำกล่าวของรัฐบาล

รัฐบาลท้องถิ่นของรัฐปารา ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโครงการนี้ อ้างว่า ทางหลวงดังกล่าวเป็น “ถนนแห่งความยั่งยืน” โดยนาย Adler Silveira รัฐมนตรีกระทรวงโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ ระบุว่า ถนนเส้นนี้จะช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรในเมืองเบเลง และเป็นหนึ่งใน 30 โครงการเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับ COP30 โครงการนี้ยังมีการออกแบบให้มีทางข้ามสำหรับสัตว์ป่า ทางจักรยาน และไฟถนนที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม รายงานจาก Reuters ล่าสุดระบุว่า รัฐบาลบราซิลได้ออกมาปฏิเสธความเชื่อมโยงระหว่างถนนเส้นนี้กับการประชุม COP30 โดยอ้างว่าโครงการเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2020 ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่เบเลงจะได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพในปี 2023 แต่ที่น่าสนใจคือ Reuters ค้นพบเอกสารที่ระบุว่า การอนุมัติโครงการก่อสร้างอย่างเป็นทางการเพิ่งเกิดขึ้นในปี 2024 ซึ่งขัดแย้งกับคำกล่าวอ้างของรัฐบาล และทำให้เกิดคำถามถึงความโปร่งใสและเจตนาที่แท้จริงของโครงการนี้

เสียงคัดค้านจากชุมชนและนักอนุรักษ์

ในขณะที่รัฐบาลพยายามนำเสนอภาพลักษณ์ของความยั่งยืน ชาวบ้านและนักอนุรักษ์กลับมองว่า โครงการนี้เป็นภัยคุกกคามต่อสิ่งแวดล้อมและขัดแย้งกับเป้าหมายของ COP30 ที่มุ่งแก้ไขวิกฤตสภาพภูมิอากาศ Claudio Verequete ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ห่างจากถนนเพียง 200 เมตร เล่าถึงความสูญเสียที่เขาเผชิญ ต้นอาซาอิที่เขาเคยปลูกและเก็บเกี่ยวเพื่อเลี้ยงครอบครัว ถูกทำลายไปพร้อมกับการก่อสร้าง เขากล่าวว่า “ตอนนี้ผมไม่มีรายได้เลย ต้องใช้เงินออมประทังชีวิต และรัฐบาลก็ไม่เคยให้เงินชดเชยใดๆ” เรื่องราวของเขาเป็นเพียงหนึ่งในหลายเสียงที่สะท้อนความเดือดร้อนของชุมชนท้องถิ่น

ด้านศาสตราจารย์ Sylvia Sardiña สัตวแพทย์สัตว์ป่าและนักวิจัยจากโรงพยาบาลสัตว์ เตือนว่า การตัดถนนผ่านป่าสงวนจะแบ่งแยกผืนป่าออกเป็นส่วนๆ ส่งผลให้ระบบนิเวศถูกทำลาย และขัดขวางการอพยพของสัตว์ป่า “สัตว์บกจะไม่สามารถข้ามไปอีกฝั่งได้ ทำให้พื้นที่อยู่อาศัย พื้นที่หาอาหาร และการสืบพันธุ์ของพวกมันลดลงอย่างมาก” เธอกล่าว พร้อมแสดงความกังวลว่า การกระทำเช่นนี้อาจนำไปสู่การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพในระยะยาว

จากการค้นคว้าเพิ่มเติม พบว่า ถนน Avenida Liberdade มีความยาวประมาณ 13 กิโลเมตร (8 ไมล์) และตัดผ่านพื้นที่ป่าที่ได้รับการคุ้มครองมานาน รายงานจาก Mongabay ซึ่งเป็นสื่อที่เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม ระบุว่า การก่อสร้างเริ่มมีความคืบหน้าอย่างเห็นได้ชัดในช่วงปี 2024 โดยภาพถ่ายดาวเทียมจาก Copernicus Sentinel-2 เผยให้เห็นร่องรอยการตัดไม้และการปรับพื้นที่ขนาดใหญ่ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2023 ถึงตุลาคม 2024 นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า โครงการนี้เคยถูกเสนอมาตั้งแต่ปี 2012 แต่ถูกระงับหลายครั้งเนื่องจากความกังวลด้านสิ่งแวดล้อม ก่อนจะถูกนำกลับมาดำเนินการอีกครั้งในช่วงที่บราซิลเตรียมตัวเป็นเจ้าภาพ COP30

ประธานาธิบดี Luiz Inácio Lula da Silva ของบราซิล กล่าวว่า COP30 จะเป็นโอกาสในการแสดงให้โลกเห็นถึงความสำคัญของป่าแอมะซอน และนโยบายการอนุรักษ์ของรัฐบาล แต่การตัดไม้ทำถนนกลับทำให้เกิดคำถามถึงความจริงใจของคำกล่าวนี้ นักวิจารณ์บางคน เช่น Adam Brooks จาก GB News ถึงกับเรียกเหตุการณ์นี้ว่า “ความหน้าซื่อใจคดด้านสภาพอากาศ” ที่เห็นได้ชัด

เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความขัดแย้งระหว่างการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นประเด็นที่ท้าทายสำหรับหลายประเทศ แม้ว่ารัฐบาลจะอ้างถึงประโยชน์ในระยะสั้น เช่น การลดปัญหาการจราจรและการพัฒนาเมือง แต่ผลกระทบระยะยาวต่อป่าแอมะซอน ซึ่งเป็น “ปอดของโลก” ที่ช่วยดูดซับคาร์บอนและรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ อาจไม่สามารถชดเชยได้ การที่โครงการนี้เกิดขึ้นก่อนการประชุม COP30 ซึ่งมีเป้าหมายหลักในการต่อสู้กับการตัดไม้ทำลายป่าและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกถึงความย้อนแย้งอย่างรุนแรง

ถนน Avenida Liberdade อาจถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความพยายามในการพัฒนาเมืองเบเลงให้พร้อมรับการประชุมระดับโลก แต่ในสายตาของหลายฝ่าย มันคือการทำลายสิ่งที่ COP30 พยายามปกป้อง ข้อมูลที่ขัดแย้งกันระหว่างรัฐบาลและสื่อ รวมถึงเสียงคัดค้านจากชุมชนและนักวิชาการ ชี้ให้เห็นว่า การตัดสินใจครั้งนี้อาจต้องได้รับการทบทวนอย่างจริงจัง หากบราซิลต้องการแสดงบทบาทผู้นำด้านสิ่งแวดล้อมในเวทีโลกอย่างแท้จริง คงต้องพิสูจน์ด้วยการกระทำ ไม่ใช่แค่คำพูด

อ้างอิง :

Copyright @2021 – All Right Reserved.