ผู้เชี่ยวชาญระบุ วิกฤตสภาพภูมิอากาศก่อให้เกิดความเสี่ยงสูงสุดต่อผู้ที่เป็นโรคระบบทางเดินหายใจ เนื่องจากอุณหภูมิสูงและรูปแบบสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ส่งผลให้ปัญหาสุขภาพปอดรุนแรงขึ้น
ศาสตราจารย์โซรานา โจวาโนวิช แอนเดอร์เซน ศาสตราจารย์ด้านระบาดวิทยาสิ่งแวดล้อมแห่งมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกนและผู้เขียนรายงานระบุว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลต่อสุขภาพของทุกคน แต่เป็นไปได้สูงที่ผู้ป่วยระบบทางเดินหายใจจะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงมากที่สุด เนื่องจากกลุ่มดังกล่าวจะไวต่อสภาพอากาศ และอาจส่งผลให้ อาการของพวกเขาจะแย่ลงถึงแก่ชีวิตได้
การเพิ่มขึ้นของละอองเกสรดอกไม้ สารก่อภูมิแพ้อื่นๆ รวมถึงมลพิษจากไฟป่า พายุฝุ่น และการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลจากการจราจร ล้วนทำให้สภาพระบบทางเดินหายใจแย่ลงหรืออาจสร้างผู้ป่วยระบบทางเดินหายใจรายใหม่ขึ้นได้
นอกจากผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจแล้ว เด็กถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อผลกระทบวิกฤตสภาพภูมิอากาศและมลพิษอากาศ เนื่องจากปอดยังพัฒนาไม่เต็มที่ เวลาหายใจจะหายใจเร็วกว่าผู้ใหญ่ ทำให้สูดอากาศเข้าไปมากกว่าผู้ใหญ่สองถึงสามเท่าในขณะที่ใช้เวลาอยู่กลางแจ้ง และการสัมผัสมลพิษทางอากาศตั้งแต่เด็ก เพิ่มโอกาสเสี่ยงเป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือหลอดลมอักเสบ ในภายหลัง
ศาสตราจารย์โซรานา ยังระบุเพิ่มว่า การปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการหยุดไม่ให้โลกร้อนขึ้นจะนำไปสู่ ผลประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้คนที่สามารถเห็นได้ชัดในทันทีใดนั้น เนื่องจากสภาพอากาศสะอาดขึ้น
ในปี 2562 มลพิษอากาศคร่าชีวิตผู้คนไปแล้ว 6.7 ล้านคนทั่วโลก เฉพาะในยุโรป 373,000 ราย
จากรายงานดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า กระทบของภาวะฉุกเฉินด้านสภาพอากาศและสุขภาพของมนุษย์มีความเชื่อมโยงกัน ในบทบรรณาธิการของ European Respiratory Journal ที่ตีพิมพ์ดการศึกษาชิ้นนี้ ได้เรียกร้องให้สหภาพยุโรปปรับกฎระเบียบด้านมลพิษอากาศ โดยเฉพาะค่า PM2.5 จากเดิมคือ 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์ ให้เท่ากับ องค์การอนามัยโลกจำกัด (WHO) ที่ 5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
“เราจำเป็นต้องทำทุกอย่างที่ทำได้ เพื่อช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมานของผู้ป่วย”
ที่มา
Sep, 04,2023. Climate crisis poses greatest risk to people with respiratory illnesses, experts warn. The Guardian