ภายหลังการประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตรายพิจารณาทบทวนการอนุญาตใช้สารเคมีวัตถุอันตรายทางการเกษตร 3 ชนิด คือ พาราควอต, ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอต นายกฤษฏา บุญราช รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน มีมติให้ยกเลิกการใช้สารเคมี 3 ชนิด ภายในปี 2562 กระทรวงเกษตรฯ พร้อมดำเนินการ
ทั้งนี้ หากให้ยกเลิกภายในปีนี้ และจะมาเร่งรัดกระบวนการสร้างความเข้าใจ และหาแนวทางทดแทนการปราบวัชพืชให้กับเกษตรกร 5.7 ล้านครัวเรือน หรือ 25 ล้านคน ที่คุ้นเคยกับการใช้สารเคมีมานานให้ไปใช้สารอื่นทดแทนอาจจะมีปัญหาติดขัด จึงเสนอความเห็นในที่ประชุมว่า ควรใช้ระยะเวลา 2 ปี ในการหานวัตกรรมใหม่ๆ มาทดแทน
อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้ทุกส่วนต้องเร่งทำเกษตรปลอดภัย และเกษตรอินทรีย์ ให้เต็มพื้นที่เกษตรทั่วประเทศ 149 ล้านไร่ และกระทรวงเกษตรฯจะเร่งพัฒนาการทำเกษตรเป็นเกษตรปลอดภัย และเกษตรอินทรีย์ โดยยก จ.ยโสธร เป็นต้นแบบที่ได้ทำการเกษตรอินทรีย์ทั้งจังหวัด
“หากให้เลิกใช้สารเคมีภายใน 1 ปี เรากังวลว่า จะมีผลกระทบกับเกษตรกรจำนวนมาก และการเผาซากพืชจะมีมากขึ้น เพราะใช้ยาปราบศัตรูพืชไม่ได้ จึงได้มีข้อเสนอต่อคณะกรรมการฯใช้เวลาปรับวิธีปฏิบัติทำเกษตรปลอดภัยทั่วประเทศใน 2 ปี ผมยืนยันจะทำให้เห็นเป็นแผนชัดเจน เป็นรูปธรรม ซึ่งรู้ว่าจะต้องโดนกระแสโจมตีจากกลุ่มที่ต้องการให้ยกเลิก แต่หากให้เลิกภายใน 1 ปี ก็สามารถทำได้ และถ้ามีผลกระทบเกิดขึ้นกับเกษตรกร อย่ามาต่อว่ากระทรวงเกษตรฯ” นายกฤษฏา กล่าว
สำหรับการประชุมในครั้งนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2562) กระทรวงเกษตรฯโดยกรมวิชาการเกษตร ได้ส่งร่างแผนปฏิบัติการยกเลิกการใช้ 3 สารเคมี ในการดำเนินการตามมาตรการจำกัดการใช้วัตถุอันตรายทั้ง 3 ชนิด ดังนี้
- กรมวิชาการเกษตรได้เสนอร่างประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 5 ฉบับ ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับมาตรการต่างๆ ในการจำกัดการใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิด ซึ่งต่อมาคณะกรรมการวัตถุอันตรายเพิ่งมีมติเห็นชอบในหลักการแล้ว เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2562 และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการพิจารณาร่างกฎกระทรวงและประกาศกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 กำลังพิจารณาร่างประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดังกล่าว
- กรมวิชาการเกษตรได้ดำเนินการจำกัดปริมาณการนำเข้าสารเคมีทั้ง 3 ชนิด ตามมติคณะกรรมการวัตถุอันตราย เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2561 โดยสามารถลดการนำเข้า สารพาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส ในปี 2562 ได้เท่ากับ21,709 ตัน 48,501 ตัน และ 1,178 ตัน ตามลำดับ ซึ่งลดลงจากสถิติเฉลี่ยการนำเข้า ปี 2557 ถึง 2559 คิดเป็นร้อยละ 25 (พาราควอตและไกลโฟเซต) และร้อยละ 55 ตามลำดับ
- จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับสารพาราควอต ผ่านช่องทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น เว็ปไซต์ของกรมวิชาการเกษตรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง Youtube และ Facebook ซึ่งได้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้สารพาราควอตเรียบร้อยแล้ว และขณะนี้ได้จัดทำข้อมูลเกี่ยวกับการใช้สารไกลโฟเซต และ สารคลอร์ไพริฟอส ที่ถูกต้องเพื่อเผยแพร่ต่อไป
- กรมวิชาการเกษตรได้จัดอบรมให้ความรู้โครงการนำร่องทดสอบหลักสูตร ผู้พ่นสาร พาราควอตเพื่อกำจัดวัชพืชในมันสำปะหลังและอ้อยในจังหวัดนครราชสีมาและนครปฐมแล้ว รวมทั้งสิ้น 100 คน
- จัดทำโครงการวิจัยเพื่อลดการใช้สารเคมีและหาวิธีการทดแทนการใช้สารเคมี รวมทั้งศึกษาผลกระทบของสารที่มีต่อสิ่งแวดล้อม ผู้ผลิต และผู้บริโภค ซึ่งได้เสนอขอรับทุนการวิจัยจากสำนักงานพัฒนา การวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2562 รวมระยะเวลาดำเนินการ 2 ปี
ขณะที่เหตุผลของกระทรวงเกษตรฯ ได้แจ้งที่ประชุมว่า ปัจจุบันมีกลุ่มองค์กรต่างๆ เรียกร้องต่อคณะกรรมการวัตถุอันตราย และกระทรวงเกษตรฯ ให้ยกเลิกการใช้สารทั้ง 3 ชนิดในการทำเกษตรกรรม ประกอบกับที่ประชุมผู้ตรวจการแผ่นดินได้มีความเห็นให้มีการยกเลิกการใช้สารเคมีดังกล่าวภายในปี 2562
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมวิชาการเกษตร ขอเรียนว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายกฤษฎา บุญราช) พร้อมทั้งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทั้ง 2 ท่าน รวมทั้งปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และอธิบดีกรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร กรมปศุสัตว์ กรมประมง กรมพัฒนาที่ดิน และเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ ได้ประชุมหารือเกี่ยวกับการใช้วัตถุอันตรายทั้ง 3 ชนิดดังกล่าว และได้มีความเห็นร่วมกัน ดังนี้
- ไม่เห็นด้วยกับการใช้สารเคมีทางการเกษตรที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายและชีวิตมนุษย์
- ปัจจุบันประเทศไทยมีเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้มีอาชีพเกษตรกรรม 5.7 ล้านครอบครัว รวม 25 ล้านคน มีพื้นที่ทำการเกษตร 149 ล้านไร่ โดยเกษตรกรส่วนใหญ่มีความคุ้นเคยกับการใช้วัตถุอันตรายทั้ง 3 ชนิด ในการกำจัดวัชพืชและแมลงศัตรูพืชมาเป็นเวลานาน เนื่องจากมีประสิทธิภาพดีและมีต้นทุนต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้แรงงานและวิธีการทางการเกษตรอื่น ๆ ประกอบกับมีนักวิชาการบางกลุ่มให้ข้อมูลว่าหากมีการใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิดดังกล่าวอย่างถูกต้องตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ผู้ใช้ก็ยังคงมีความปลอดภัยดังนั้น เพื่อให้การประกาศยกเลิกการใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิด นั้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและทำให้เกษตรกรมีเวลาปรับตัวในการลด ละ และเลิกใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิด ควรดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้(1) ขอให้คณะกรรมการวัตถุอันตรายเร่งรัดการพิจารณาออกประกาศตาม พ.ร.บ. 5 ฉบับ ดังกล่าวข้างต้นเพื่อกำหนดเงื่อนไขการใช้สารเคมีดังกล่าวคือ
– การกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ใช้ ผู้จำหน่าย ผู้ให้บริการพ่นสารเคมีจะต้องผ่านการอบรมก่อน รวมทั้งกำหนดให้มีการปิดฉลากที่เห็นได้ชัดเจนบนบรรจุภัณฑ์ของวัตถุอันตราย ทั้ง ๓ ชนิดที่สื่อความหมายว่าสารเคมีดังกล่าวเป็นอันตรายต่อร่างกายและชีวิตมนุษย์
– การประกาศเขตห้ามใช้/ครอบครอง/จำหน่ายสารเคมีทั้ง 3 ชนิด ในพื้นที่ต้นน้ำตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(2) กรมวิชาการเกษตร จะควบคุมการนำเข้าวัตถุอันตรายทั้ง ๓ ชนิด อย่างต่อเนื่องตาม แผนดำเนินการที่กำหนดไว้ในปี ๒๕๖๒ และในปีต่อ ๆ ไป
- กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะได้มอบหมายให้หน่วยราชการในสังกัดจัดทำแผนปฏิบัติการเร่งรัดขยายการทำการเกษตรดีที่เหมาะสม (GAP) และหรือเกษตรอินทรีย์ (Organic Farming) ให้ครอบคลุมทั้งประเทศ ให้ได้ภายใน 2 ปี นับตั้งแต่ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทั้ง 5 ฉบับ มีผลบังคับใช้และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับภาควิชาการ และหรือภาคเอกชนได้ทำการศึกษาวิจัยแล้วหาวิธีการหรือนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในการกำจัดวัชพืชและศัตรูพืชให้ได้ภายใน 2 ปี
- ขอให้คณะกรรมการวัตถุอันตราย ได้มีมติให้ทุกส่วนราชการสนับสนุนการปฏิบัติตามแผนมาตรการจำกัดการใช้สารพาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส
- เมื่อกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการมาตรการจำกัดการใช้วัตถุอันตรายทั้ง3 ชนิด ครบกำหนด 2 ปี นับตั้งแต่ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทั้ง 5 ฉบับ มีผลบังคับใช้ ขอให้คณะกรรมการวัตถุอันตรายพิจารณาประกาศยกเลิกการใช้วัตถุอันตรายทั้ง 3 ชนิด หรือพิจารณาดำเนินการด้วยวิธีอื่นในการทำเกษตรกรรมต่อไป
ด้าน ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thiravat Hemachudha มีเนื้อหาสรุปว่า ตามมติปี 2560 ของกระทรวงสาธารณสุขมีเวลาให้ (ยกเลิก) จนถึงสิ้นปี 2562 เช่นเดียวกับมติของผู้ตรวจการแผ่นดิน การอ้างมาตรการทดแทนว่าไม่พร้อมนั้นไม่จริงเด็ดขาด เป็นการโกหกประชาชนทั้งประเทศ